xs
xsm
sm
md
lg

ตัดกิเลสดีกว่าตัดคอตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในอดีตกาล มีกุลบุตรผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ต่อมาพระภิกษุรูปนี้กลับเกิดความคิดขึ้นมาว่า “ชื่อว่าการอยู่เป็น ฆราวาส ไม่เหมาะกับกุลบุตรเช่นเรา เราควรจะบวชอยู่อย่างนี้และตายในผ้าเหลืองน่าจะดีกว่า” เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จึงนั่งคิดนอนคิดหาวิธีการที่จะฆ่าตัวตาย
ต่อมาในวันหนึ่ง มีภิกษุหลายรูปได้ตื่นมาสรงน้ำแต่เช้าตรู่แล้วก็ฉันภัตตาหาร หลังจากเสร็จแล้วจึงไปสู่วิหาร เมื่อไปถึงได้เห็นงูตัวหนึ่งอยู่ในโรงไฟ จึงพากันจับงูนั้นใส่ไว้ในหม้อ แล้วถือออกไปจากวิหาร ฝ่ายภิกษุที่อยากจะสึก นั้น หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้วได้เดินมาเจอภิกษุที่ถือ หม้อเดินมาอยู่นั้น จึงถามว่านี่อะไร พวกภิกษุจึงบอกว่า งูภิกษุผู้นั้นจึงถามต่อไปอีกว่า “ท่านจะเอางูไปทำอะไร?”
พวกภิกษุตอบว่า “จะเอามันไปทิ้ง”
ภิกษุที่อยากจะสึกนั้นจึงคิดว่า เราน่าจะให้งูนี้กัดเราให้ ตาย เมื่อคิดดังนั้น จึงเอ่ยปากของูจากเพื่อนภิกษุ โดยบอก ว่าจะเอาไปทิ้งให้เอง ฝ่ายเพื่อนภิกษุจึงได้ให้หม้อใส่งูไป
หลังจากได้งูมาแล้ว ภิกษุนั้นก็เดินไปนั่งในที่แห่งหนึ่ง แล้วให้งูกัดตนเอง แต่ทำอย่างไรๆ งูก็ไม่ยอมกัด ภิกษุนั้นจึงเอามือล้วงลงในหม้อแล้วเปิดปากงูให้กว้าง พร้อมกับสอดนิ้วมือเข้าไป หวังว่าคราวนี้งูคงจะกัดแน่ๆ แต่งูก็ไม่ยอมกัดเหมือนเดิม ก็เลยคิดว่า งูนี้คงไม่ใช่งูที่มีพิษ เป็นงู ที่ไม่ดุร้าย จึงทิ้งงูนั้นไป แล้วกลับไปยังวิหาร
ลำดับนั้น พวกภิกษุทั้งหลายได้สอบถามว่าทิ้งงูไปแล้ว หรือยัง ภิกษุนั้นตอบว่า
“งูนั้นเป็นงูไม่มีพิษ ไม่ใช่งูที่ดุร้ายอะไร”
ฝ่ายพวกภิกษุจึงแย้งขึ้นว่า “เป็นงูมีพิษ เพราะมันแผ่แม่เบี้ย ขู่ฟู่ๆ และกว่าจะจับมันได้นั้นยากแสนยาก เหตุใด ท่านจึงบอกว่างูนั้นเป็นงูไม่มีพิษเล่า”
ภิกษุนั้นตอบไปว่า “ก็ผมให้มันกัดมันก็ไม่ยอมกัด เอานิ้วมือสอดเข้าไปในปากมัน มันยังไม่ยอมกัดเลย ผมจึงคิดว่ามันเป็นงูไม่มีพิษ” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น บรรดาพวกภิกษุต่างก็นั่งอึ้งไป ตามๆ กัน
ในวันรุ่งขึ้น มีช่างตัดผมคนหนึ่งถือมีดโกนสองสามเล่มเดินไปทางวิหาร แล้ววางมีดโกนเล่มหนึ่งไว้ที่พื้น ส่วนอีกเล่มใช้ปลงผมให้แก่พระภิกษุหลายรูป
ภิกษุที่อยากสึกนั้น ได้หยิบมีดโกนซึ่งวางไว้ที่พื้น แล้ว คิดว่า เราจะตัดคอตัวเองให้ตายด้วยมีดโกนนี้ คิดดังนั้นแล้ว จึงยืนเอาคอตัวเองพาดไว้ที่ต้นไม้แห่งนึ่ง จ่อคมมีดโกนเข้าที่ก้านคอ แต่ขณะนั้นเองก็นึกใคร่ครวญถึงศีล ของตนเอง ตั้งแต่วันบวชเป็นต้นมา ได้เห็นว่าตั้งแต่บวช มานั้นตนเองไม่เคยทำให้ศีลด่างพร้อยเลย จึงเกิดความปีติ แผ่ซ่านทั่วทั้งร่างกาย จึงข่มปีติแล้วเจริญวิปัสสนา จนในที่สุดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

หลังจากนั้นท่านจึงถือมีดโกนเข้าไปท่ามกลางวิหาร พวกภิกษุเห็น จึงถามว่าจะไปไหน? ท่านจึงตอบว่า
“ก่อนหน้านี้ ผมคิดจะเอามีดโกนนี้ตัดคอตัวเองตาย”
พวกภิกษุจึงย้อนถามว่า “อ้าว แล้วทำไมท่านจึงไม่ตายล่ะ”
ภิกษุผู้นั้นจึงตอบว่า “ตอนนี้ผมเป็นผู้ไม่ควรฆ่าตัวตาย เพราะผมคิดว่า จะตัดคอตัวเองด้วยมีดโกนนี้ แต่ผมได้ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วยมีดโกนคือญาณ”
พวกภิกษุทั้งหลายไม่เชื่อ จึงไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้า
ทรงทราบว่า ภิกษุรูปนี้ พยากรณ์พระอรหัตด้วยคำที่ไม่เป็นจริง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ท่านทั้งหลาย ธรรมดาพระขีณาสพ ย่อมไม่ฆ่าตัวตาย”
พวกภิกษุเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า “พระองค์ตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นพระขีณาสพ หากภิกษุนี้มีอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์สมบูรณ์อย่างนี้ ทำไมจึงกระสันอยากสึกเล่า อะไรเป็นเหตุแห่งอุปนิสัยของความเป็นพระอรหันต์ของภิกษุนี้ และทำไมงูนั้นจึงไม่กัดท่าน”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย งูนั้นได้เคยเป็น ทาสของภิกษุนี้ในอัตภาพที่สามก่อนอัตภาพนี้ มันไม่อาจ จะกัดร่างกายผู้เป็นนายของตนเองได้”
พระองค์ได้ตรัสบอกเหตุเพียงอย่างเดียวก่อน และตั้งแต่นั้นมาภิกษุรูปนั้นจึงได้ชื่อว่า “สัปปทาสะ” ส่วนอดีตกรรมของท่านนั้น มีดังต่อไปนี้
ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บุตรแห่งคฤหบดีผู้หนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดความสลดใจ จึงออกบวช ต่อมามีความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น จึงบอกแก่เพื่อน ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อนภิกษุได้บอกเล่าถึงความยากลำบากของการอยู่เป็นฆราวาส เมื่อท่านได้ฟังภิกษุผู้เป็นสหธรรมิกพูด เช่นนั้นก็ยินดียิ่งในพระศาสนา จึงนั่งขัดเช็ดถูเครื่องบริขาร ของตนที่มีฝุ่นจับให้สะอาด แล้วจึงกล่าวกับภิกษุผู้เป็นสหาย
ว่า หากตนสึกเมื่อใด ก็จะถวายเครื่องบริขารทั้งหมดนี้แก่ท่าน ภิกษุผู้เป็นสหายได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความโลภขึ้น คิดว่าภิกษุรูปนี้จะสึกหรือไม่สึกก็ตาม เราก็จะต้องเอาบริขารเหล่านี้ให้ได้ ตั้งแต่นั้นมา จึงพยายามพูดกรอกหูผู้เป็นสหายอยู่เนืองๆว่า ชีวิตการเป็นภิกษุจะมีประโยชน์อะไร ก็เพียงแค่ขอข้าวเขากินไปวันๆ สึกไปมีลูกมีเมียจะไม่ดีกว่าหรือ แล้วก็พูดถึงคุณประโยชน์ในการเป็นฆารวาส
ฝ่ายภิกษุนั้นหลังจากได้ฟังแล้วก็กระสันอยากสึกอีก แต่ก็มาฉุกคิดขึ้นได้ว่า ครั้งแรก ที่ตนบอกว่าอยากจะสึก พระผู้เป็นสหายรูปนี้ก็บอกว่า การเป็นฆราวาสไม่ดีอย่างนั้น
อย่างนี้ แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าการเป็นฆารวาสดีกว่าการ เป็นภิกษุ ทำไมท่านจึงพูดกลับไปกลับมาอย่างนั้นหนอ และเมื่อใคร่ครวญอยู่สักพักจึงรู้ว่า เพื่อนสหธรรมิกเกิดความ โลภในบริขารที่ท่านบอกว่าจะยกให้เมื่อสึก
ดังนั้น เพราะความที่ภิกษุรูปหนึ่งถูกตนทำให้กระสันอยากสึกแล้ว ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บัดนี้ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุรูปนั้น ด้วยประการฉะนี้ ส่วนสมณธรรมใดที่ภิกษุรูปนั้นบำเพ็ญมาสองหมื่นปีครั้งนั้น สมณธรรมนั้นเกิดเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ของภิกษุนั้น ในกาลบัดนี้แล
พวกภิกษุหลังจากได้ฟังความที่พระพุทธองค์ตรัสเล่าแล้ว จึงทูลถามเพิ่มอีกว่า การที่ภิกษุนี้ยืนจ่อคมมีดโกนที่ก้านคอตัวเองนั้น พระอรหัตตมรรคเกิดขึ้นได้โดยขณะเพียงเท่านั้นหรือ?
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้ปรารภความเพียร ยกเท้าขึ้นวางบนพื้น เมื่อเท้ายังไม่ทันถึงพื้นเลย พระอรหัตตมรรคก็ได้เกิดขึ้น ความเป็นจริง ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะของท่านผู้มีความขยันหมั่นเพียรนั้น ประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่เป็นร้อยๆ ปี ของ บุคคลที่เกียจคร้าน”
.......
ความเพียรนั้นสามารถทำให้เราทำอะไรจนประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ใน การเป็นอยู่ทางโลก ความเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ประสบความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และทำให้เรามีกินมีใช้อย่างไม่อดอยาก ดังสุภาษิตที่ว่า “ความจนไม่มีในหมู่คนขยัน” ส่วนความเพียรหากนำมาใช้กับทางธรรมนั้น ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถที่บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดหรือความเป็นอรหันต์ หมดกิเลสสิ้นเชิงได้ในที่สุด การจะชนะกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ไม่มี ความขยันหมั่นเพียรย่อมตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงได้ การมีความเพียรเป็นนิสัย
ประจำตัวจึงเป็นเหมือนสิ่งวิเศษที่สามารถเสกสรรสิ่งต่างๆ ให้เราได้สมความปรารถนา


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 87 ก.พ. 51 โดยมาลาวชิโร)
กำลังโหลดความคิดเห็น