นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า การเมืองในประเทศเดินหน้าสู่การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวมในระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศและนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง
จากการศึกษาของ บล.ทิสโก้ พบว่า ในเชิงสถิติ SET Index ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง (Pre-election Rally) ราว 1-2 เดือนมีโอกาสในการปรับขึ้นราว 53-73% และให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย +2.0% ถึง +2.3% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกและเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด (Outperform) ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง คือ กลุ่ม FOOD, FIN, CONMAT, ENERG และ COMM เป็นต้น
ด้านเศรษฐกิจไทยปี 69 คาดว่าจะเติบโตต่ำเพียง +1.6% โดย 2 เครื่องยนต์หลักอย่างการส่งออกและการท่องเที่ยวเผชิญความท้าทายจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่สูงขึ้นภายใต้การสู้รบที่ยืดเยื้อบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาและเงินบาทที่แข็งค่ามากในปีที่ผ่านมา
ขณะที่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) คาดจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ โดยหากมาตรการ "Fast Pass" สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ตามเป้าราว 4.8 แสนล้านบาท คาดว่าส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจได้ราว 0.6 ppt
แต่ในทางกลับกันหากการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีความล่าช้าเกินกว่าไตรมาส 2 ปีนี้ อาจส่งผลให้งบประมาณปี 2570 มีความล่าช้ามากกว่า 2 เดือน โดยหากงบประมาณปี 2570 เริ่มเบิกจ่ายได้ในต้นปีถัดไป บล.ทิสโก้ ประเมินว่าจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจราว 0.3 ppt
บล.ทิสโก้ ยังคงเป้า SET Index ปี 69 ที่ 1,388 จุด (อิงจาก Fwd. PER เหมาะสมที่ประมาณ 16 เท่า และ EPS ปี 69-70 ที่ 81.2 และ 84.9) คิดเป็น Upside ราว 100 จุด ถูกจำกัดด้วยการเติบโตที่ต่ำทั้งทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้มองหุ้นไทยก็มี Downside จำกัดเช่นกัน หลังร่วงสวนทางหุ้นโลก 3 ปีซ้อน!
นอกจากนี้ หุ้นไทยยังต่ำกว่าที่เห็น เพราะถูกหุ้น DELTA บิดเบือนไปมากทั้งระดับราคาและมูลค่า โดยหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวม SET Index ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1,160 จุดเท่านั้น และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยโดยผ่านตัวแบบ Earning Yield Gap ที่ไม่รวมหุ้น DELTA ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะอยู่สูงเกือบ 6% หรือคิดเป็น +2SD ถูกเทียบเท่าช่วงวิกฤติ COVID-19 เลยทีเดียว
โดยสรุป แม้ บล.ทิสโก้ มอง Upside และ Downside ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัดอย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งปีแรก แต่มี 2 ธีมการลงทุนหลักที่น่าสนใจในช่วงต้นปี (1) ธีมหุ้นเลือกตั้ง แนะนำ AEONTS, CPAXT, MC, TASCO (2) ธีมหุ้นปันผลสูง (คาด Div. Yield ที่เหลือปี 25F สูงกว่า 4%) แนะนำ BTG, PRM, PTTEP, SCCC
ดังนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน ม.ค. คือ AEONTS, BTG, CPAXT, MC, PRM, PTTEP, SCCC และ TASCO (ทั้งนี้ AEONTS, PRM, PTTEP, TASCO หรือครึ่งหนึ่งของหุ้นแนะนำในเดือนหน้าอยู่ใน SETHD Index ด้วย)
ด้านแนวรับสำคัญของหุ้นไทยเดือน ม.ค.69 อยู่ที่ 1,240-1,250 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,200-1,220 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,285 จุด 1,300 จุด และ 1,340 จุด ตามลำดับ
ด้านทางเลือกการลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยผ่าน DR แนะนำ NOVOB80 (Novo Nordisk) และ SMIC23 (Semiconductor Manufacturing International Corp) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตดีและราคาหุ้นมีการย่อตัวในช่วงที่ผ่านมา โดย Novo Nordisk (NOVO_B) ล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้นหลัง FDA อนุมัติยา GLP-1 สำหรับลดน้ำหนัก ทำให้ราคาหุ้นที่ย่อตัวจากจุดสูงสุดในช่วงต้นปีกว่า 50% มีโอกาสฟื้นตัว
ในขณะที่ Semiconductor Manufacturing International Corp (981 HK) เป็นบริษัทผู้นำด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของจีนที่กำลังเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นลดลงจากจุดสูงสุดราว 24% ทำให้มีโอกาสในการรีบาวด์สูง
และ บล.ทิสโก้มองว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอาจเริ่มกลับสู่ปกติมากขึ้น


