xs
xsm
sm
md
lg

“อัสสเดช” ปราบจริง...มิจฉาชีพตลาดหุ้น / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดหุ้นปี 2569 ยังต้องเผชิญขวากหนามต่อไป แต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ประกาศ 3 แนวทางสำคัญ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน และการสร้างธรรมาภิบาล ซึ่งถ้าทำได้ จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาคึกคัก

นายอัสสเดช คงศิริ กรรมการและผู้จัดการ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ฯ กล่าวถึงแนวทางการทำงานในปีหน้า ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างความเชื่อมั่น โดยการยกระดับ เกณฑ์รับบริษัทจดทะเบียนใหม่ให้เข้มงวดขึ้น

การปรับปรุงกลไกโปรแกรมการซื้อขายหรือ Program Trade เพื่อสร้างสมดุลให้นักลงทุนทุกกลุ่ม

และการทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อเร่งรัดคดีทุจริตและป้องกันมิจฉาชีพ เพื่อล้างภาพลักษณ์เชิงลบ จากปัญหาธรรมาภิบาลในอดีต ซึ่งจะเพิ่มเสน่ห์การลงทุนและสร้างแรงจูงใจใหม่

ทั้ง 3 แนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ เป็นการวางแผนแก้ปัญหาที่ตรงเป้า โดยการยกระดับการรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เข้มงวดขึ้น จะช่วยกลั่นกรองบริษัทที่ดี มีคุณภาพและยึดมั่นในธรรมาภิบาลเข้ามาในตลาดหุ้น เป็นการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ได้รับความเสียหาย จากบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ไร้คุณภาพ หรือหุ้นใหม่เน่าๆที่เข้ามาสร้างความเสียหายให้นักลงทุน

ย้อนหลังไปเพียงแค่ 3 ปี หุ้นใหม่หลังไหลเข้ามาระดมทุนนับร้อยบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ สร้างความเสียหายย่อยยับให้นักลงทุน จนเข็ดขยาดกับหุ้นใหม่ที่ ก.ล.ต.อนุมัติการเสนอขายหุ้นเป็นครั้งแรก และตลาดหลักทรัพย์รับเข้ามาจดทะเบียน

ความเสียหายเกิดขึ้นตั้งแต่ การกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรกแพงเกินไป สูงเกินปัจจัยพื้นฐาน และเมื่อหุ้นเข้ามาซื้อขาย ราคาต่ำกว่าจอง นอกจากนั้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใหม่ ก่อนเข้าตลาด มีการแต่งตัวเลขมาดูดี แต่หลังเข้าตลาดหุ้นแล้ว ผลประกอบการกลับทรุดหนัก แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพการเติบโตสวยหรูที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใหม่คุมโม้โอ้อวดช่วงเสนอขายหุ้น

นโยบายการรับหุ้นใหม่ในเชิงปริมาณ รับหุ้นใหม่ไม่เลือก เป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้บริษัทเน่า ๆ เข้ามาหลอกต้มนักลงทุนในตลาดหุ้น

ตลาดหลักทรัพย์ ฯ เดินมาถูกทางแล้ว ในการยกระดับเกณฑ์การรับหุ้นใหม่ที่เข้มงวดขึ้น สิ่งที่จะต้องรอดูคือ จะปรับเกณฑ์ใหม่ให้เข็มงวดขึ้นระดับไหน และจะป้องกันหุ้นเน่า ๆ ไม่ให้เข้ามาปล้นนักลงทุนในตลาดหุ้นได้หรือไม่

ส่วนแนวทางการปรับปรุงกลไก PROGRAM TRADE ก็เป็นอีกหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพราะปัญหาโปรแกรมการซื้อขาย นักลงทุนต่อต้านกันมานาน เคยลุกฮือเรียกร้องให้ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกเลิก ROBOT TRADE ด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย โดยมีต้นทุนค่านายหน้าซื้อขายที่ต่ำกว่า และสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้รวดเร็วกว่า

6-7 ปีแล้วที่ ROBOT TRADE เข้ามาตีกินส่วนต่างราคาหุ้น ขนกำไรปีละนับหมื่นล้านออกจากประเทศไทย ส่วนนักลงทุนขาใหญ่ เจ้ามือหรือเจ้าของหุ้น รวมทั้งนักลงทุนรายย่อย ต้องหมดเนื้อหมด และยอมยกธงขาว ยอมจำนนต่อ ROBOT TRADE ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นนักลงทุนขาใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย ครองสัดส่วนการซื้อขายมากกว่า 40% ของมูลค่าซื้อขายหุ้นรวมทั้งตลาด

ปี2569 ต้องรอดูว่า นายอัสสเดชจะจัดการกับ ROBOT TRADE อย่างไร จะช่วยเรียกความมั่นใจนักลงทุนได้หรือไม่ว่า จะไม่ถูก ROBOT TRADE เล่นเอาเปรียบหรือบางโอกาสอาจเล่นโกงเหมือน 6-7 ปีที่ผ่านมา จนนักลงทุนรายย่อยบางส่วนต้องหนีหายออกจากตลาดหุ้น

และแนวทางสุดท้าย การทำงานร่วมกับ ก.ล.ต.และปปง. เพื่อเร่งรัดคดีทุจริตและป้องกันมิจฉาชีพ เพื่อล้างภาพลักษณ์เชิงลบปัญหาธรรมาภิบาลในอดีต ซึ่งประเด็นสำคัญคือ การกวาดล้างมิจฉาชีพในตลาดหุ้น

เพราะถ้าตลาดหุ้น ปลอดจากบรรดามิจฉาชีพ โดยเฉพาะมิจฉาชีพในคราบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน จะไม่มีคดีทุจริตในตลาดหุ้น

ปัจจุบัน ตลาดหุ้นเป็นแห่งรวมของบรรดามิจฉาชีพขนาดใหญ่ และเป็นมิจฉาชีพที่แฝงมาในคราบกลุ่มบุคคลอาชีพต่าง ๆ โดยมิจฉาชีพแก๊งใหญ่ และก่อคดีในตลาดหุ้นมากที่สุด สร้างความเสียให้ให้ประชาชนผู้ลงทุนมากที่สุดคือ มิจฉาชีพในคราบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน

ตลาดหลักทรัพย์ตั้งโจทย์ไว้แล้ว ปีหน้าจะหวาดล้างมิจฉาชีพในตลาดหุ้น ซึ่งถ้าทำได้จริง จะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาได้แน่นอน

ทั้ง 3 แนวทางการแก้ปัญหาปี 2569 ของตลาดหลักทรัพย์ ฯ เป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุน เพราะจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ในเชิงลบของตลาดหุ้นไปตลอดกาล

แต่นโยบายอันเลิศหรูของนายอัสสเดช จะไปถึงดวงดาวหรือไม่ ต้องร่วมกันเฝ้าติดตาม พร้อมส่งแรงเชียร์ ขอให้ทำได้จริง โดยเฉพาะการกวาดล้างมิจฉาชีพในตลาดหุ้นให้สิ้นซาก








กำลังโหลดความคิดเห็น