ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการปรับกฏเกณฑ์การรับหุ้นใหม่ เพื่อให้การเข้าจดทะเบียนมีความรวดเร็วขึ้น จูงใจบริษัทเอกชนที่ หันเหเป้าหมายการระดมทุน โดยมุ่งย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น
สาเหตุการอพยพเคลื่อนย้ายของบริษัทในประเทศไทยที่เตรียมหนีไปจดทะเบียนตบลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากมีแรงจูงใจที่สำคัญคือ ดัชนีหรือราคาที่ผู้ออกหลักทรัพย์จะได้รับ เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีระดับ P/E ที่สูงกว่าตลาดหุ้นไทย ขณะที่สภาพคล่องของตลาดหุ้นมีมากกว่า และกระบวนการเข้าเข้าจดทะเบียนใช้เวลาสั้นกว่า
กระบวนการอนุมัติเสนอขายหุ้นของไทย จะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 120 วัน แต่ตลาดหุ้นต่างประเทศใช้เวลาประมาณ 90 วัน จึงต้องย่นเวลาการพิจารณาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนผู้ลงทุนในครั้งแรกให้สั้นลง
ขณะที่ชมรมวาณิชธนกิจ (IB Club) ขอขยายขอบเขตหรือสัดส่วนการจัดสรรหุ้นให้ผู้มีอุปการะคุณ โดยขอขยายสัดส่วนเป็นประมาณ 40% เพิ่มขึ้นจากจากเดิมที่มีสัดส่วนการจัดสรรหุ้นผู้มีอุปการะคุณ 25%ของหุ้นที่เสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรก
ตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในภาวะป่วยไข้ เลือดไหลไม่หยุด เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนี ฯ หุ้นปักหัวลง ราคาหุ้นตกต่ำ มูลค่าการซื้อขายหุ้นซบเซาอย่างหนัก นักลงทุนในประเทศทุกกลุ่ม ขาดทุนกันย่อยยับ จึงเบนเข็มหาทางเลือกใหม่ โดยย้ายเงินลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากนำร่องไปแล้ว โดยทยอยออกไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ผ่านตราสาร DR หรือตราสารที่ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ ขณะที่บริษัทเอกชน กำลังเดินตาม โดยบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด บริษัทนายหน้าซื้อขายคริปโต ซึ่งประกาศนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
ล่าสุดประกาศเบนหัวเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2569 และเชื่อว่า จะมีบริษัทอื่น ๆ กำลังพิจารณา หนีตายจากตลาดหุ้นไทย ย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศตาม
ไม่รู้ว่า ตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต. กังวลอะไรกับกระแส การไหลออกของนักลงทุนในประเทศ และบริษัทของไทย ที่กำลังเบนเข็มไปลงทุนและระดมทุนในต่างประเทศ
ทำไมจึงต้องการให้นักลงทุนและบริษัทเอกชน “ดักดาน”อยู่แต่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งไร้เสน่ห์ มองไม่เห็นอนาคตความสดใส และดัชนีหุ้นดิ่งลงมา 3 ปีติดต่อ และมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นคืนชีพ
การปรับกฏเกณฑ์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย มากกว่าหนีไปจดทะเบียนในตลาดหุ่นต่างประเทศ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯอยากจะทำก็คงไม่มีใครว่าอะไร เพียงแต่สิ่งที่ประชาชนผู้ลงทุนอยากเห็นมากกว่าคือ
การพิจารณากลั่นกรองรับบริษัทจดทะเบียนที่ดีและมีคุณภาพเข้าตลาดหุ้น ไม่ใช่รับบริษัทจดทะเบียนเน่า ๆ ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน สมคบคิดกับผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่งงบการเงิน แต่งตัวบริษัท เข้ามาตบตาคณะกรรมการ ก.ล.ต. คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ฯ จนนำหุ้นเข้าตลาด และปล้นเงินนักลงทุนได้
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ ควรย้อนทบทวนสถานการณ์หุ้นใหม่ที่รับเข้าตลาดหุ้น เอาแค่ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พิจารณาดูซิว่า มีบริษัทจดทะเบียนใหม่สักกี่แห่งที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุน
และมีหุ้นใหม่เน่า ๆ กี่สิบบริษัท หรือเกือบทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่สร้างความเสียหายย่อยยับให้ประชาชนผู้ลงทุน ทั้งราคาหุ้นที่เสนอขายแพงหูฉี่ เหมือนกับปล้นนักลงทุน และผลประกอบการตกต่ำต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับที่ผู้บริหารบริษัทคุยโม้โอ้อวดก่อนเข้ามาสูบเงินนักลงทุน
ปัจจุบันมีหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 639 บริษัท จดทะเบียนในตลาด MAI 230 บริษัท รวมเป็น 869 บริษัท มีมาร์เก็ตแคปรวมกันทั้งสิ้น 15.59 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่า บริษัทจดทะเบียนมีจำนวนมากโข และธุรกิจที่เข้าจดทะเบียนมีความหลากหลาย มากพอที่นักลงทุนจะเลือกเฟ้นลงทุน
ไม่มีความจำเป็นใดที่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ จะต้องเร่งรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ โดยเฉพาะการรับบริษัทจดทะเบียนเน่าๆเข้ามาสร้างความเสียหายให้นักลงทุน เพราะนโยบายการเน้นหุ้นในเชิงปริมาณ แต่ละเลยต่อนโยบายการกลั่นกรองคุณภาพที่เข้มข้น
การที่นักลงทุนในประเทศ โผบินจากตลาดหุ้นไทย เพื่อไปหาทางเลือกหรือโอกาสที่ดีกว่า
การที่บริษัทในประเทศไทย เบนหัวเรือออกจากตลาดหุ้นไทย เพื่อออกไประดมทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ควรสนับสนุนและอวยพรขอให้ขนเงิน โกยกำไรกลับเข้ามาในประเทศไทย
เพราะถ้ายังจมปลักอยู่ในตลาดหุ้นไทย ทั้งนักลงทุนและบริษัทจดทะเบียนมีแต่นั่งรอวันตาย
ตลาดหุ้นไทยไร้อนาคตจริง ๆ สิ้นปีนี้ หุ้นอาจปิดต่ำกว่า 1250 จุดด้วยซ้ำ ใครล่ะจะไม่หนีตาย


