ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเข้าขั้นโคม่า! สัญญาณเตือนภัยระดับสีแดงดังสนั่นเมื่อนักวิเคราะห์ชี้ ตลาดเข้าสู่เฟส “กระจายของ” (Distribution) ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง หลังพบข้อมูลชวนช็อกว่าเม็ดเงินใน Spot Bitcoin ETF กว่า 60% กำลัง “ติดดอย” จมอยู่ใต้น้ำ ขณะที่เหมืองขุดและบริษัทจดทะเบียนที่ถือครองบิตคอยน์ต่างกระอักเลือดจากภาวะขาดทุนทางบัญชีรวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ จับตาแนวรับจิตวิทยา 80,000 ดอลลาร์ หากรับไม่อยู่ อาจเห็นโดมิโนล้มครืนทั้งกระดาน
สถานการณ์ของ Bitcoin (BTC) เวลานี้ เปรียบเสมือนปราสาทไพ่ (House of Cards) ที่กำลังโงนเงนท่ามกลางพายุ โดยราคาที่ทรงตัวอยู่แถว 86,000 ดอลลาร์ ไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งที่แท้จริง แต่กลับซ่อน “ระเบิดเวลา” ลูกใหญ่ที่เกิดจากโครงสร้างต้นทุนของผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังบิดเบี้ยว
วิกฤตต้นทุนกองทุน เส้นตาย 8 หมื่นดอลลาร์
ข้อมูลจาก Checkonchain เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า นักลงทุนกำลังแบกรับ “การขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง” (Unrealized Losses) สูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.4 ล้านล้านบาท) โดยจุดเปราะบางที่สุดอยู่ที่ต้นทุนเฉลี่ย (Cost Basis) ของ Spot Bitcoin ETF ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในโซน 80,000 - 82,000 ดอลลาร์
นั่นหมายความว่า หากราคา Bitcoin ร่วงหลุดโซนนี้ลงไป จะเท่ากับว่าบรรดากองทุนยักษ์ใหญ่และสถาบันการเงินที่แห่กันเข้ามาในปี 2567-2568 จะพลิกสถานะจากกำไรเป็นขาดทุนทันที ซึ่งอาจจุดชนวนให้เกิดการเทขายหนีตาย (Panic Sell) เพื่อรักษาสภาพคล่อง และเปลี่ยนจากระดับ “แนวรับ” ให้กลายเป็น “จุดตาย” ที่กดดันตลาดแทน
ETF จากพระเอกสู่จำเลย
Bitwise ประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนใน ETF กว่า 1.27 แสนล้านดอลลาร์ มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80,000 ดอลลาร์ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ มีเม็ดเงินเพียง 2.9% เท่านั้นที่รองรับอยู่ในช่วงราคา 75,000-85,000 ดอลลาร์ เปรียบเสมือนเบาะรองรับที่บางเฉียบ หากราคาหลุดกรอบนี้ ตลาดอาจไหลรูดลงไปหา “ป้อมปราการ” แนวรับถัดไปที่แข็งแกร่งกว่าในโซน 65,000-70,000 ดอลลาร์ ได้อย่างรวดเร็ว
เหมืองขุด-บริษัทจดทะเบียน เสียหายหนัก
ไม่ใช่แค่กองทุนที่เจ็บหนัก ภาคการขุด (Mining) ก็กำลังเผชิญวิกฤต “Margin Compression” หรือกำไรหดตัวอย่างรุนแรง ดัชนี Hashprice ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เหมืองขุดเริ่มถอดปลั๊กเครื่องจักร (Pulling back hashrate) เพื่อลดต้นทุน
ขณะที่กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่ใช้กลยุทธ์ Bitcoin Treasury (ออกหุ้นกู้มาซื้อ Bitcoin) ก็กำลังเจอทางตัน เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้เริ่มเทรด “ต่ำกว่า” (Discount) มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ทำให้กลยุทธ์ “ปั๊มหุ้นซื้อเหรียญ” (Issue equity, buy BTC) ที่เคยใช้ได้ผล เริ่มทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ความสัมพันธ์เชิงลบกับตลาดหุ้น
ปัจจัยลบที่ซ้ำเติมสถานการณ์คือ Bitcoin ในปี 2568 มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) กับดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 สูงถึง 0.5 (จากเดิมแค่ 0.2 กว่าๆ ในปีก่อน) ทำให้ราคา Bitcoin ผูกติดกับความเสี่ยงของตลาดหุ้นโลกมากขึ้น
ด้าน Checkonchain สรุปสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็น “เชิงลบที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565 โดยตลาดกำลังเข้าสู่บททดสอบสำคัญที่โซน 80,000-82,000 ดอลลาร์ หากยืนไม่อยู่ ภาพฝันของขาขึ้นอาจจบลง และเปลี่ยนเป็นฝันร้ายของการล้างไพ่ครั้งใหญ่แทน


