ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เกิดคำถามดังอื้ออึงไปทั้งประเทศว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ภายใต้การบงการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ถึงได้ตัดสินใจ “อยู่ต่อ” หลังเกิดกรณีคลิปการสนทนากับ “ฮุน เซน” ด้วย “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” แล้ว การอยู่ต่อไม่ได้ช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แถมยังจะแย่ลงด้วยซ้ำไป
ขณะที่การปรับคณะรัฐมนตรีก็มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพ แต่เป็นการปรับเพื่อ “ยื้อเวลา” เท่านั้น โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้ “กระทรวงมหาดไทย” เป็นกลไกเพื่อรองรับการเลือกตั้ง สส.ที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งสับเปลี่ยนหมุนเวียนตามโควตา “มุ้ง” ต่างๆ ภายในพรรค
ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็เป็นการแจกจ่ายเก้าอี้รัฐมนตรีให้ในฐานะที่ช่วยสนับสนุนและค้ำยันรัฐบาลแพทองธารให้สามารถอยู่ในอำนาจได้ หรือถ้าจะใช้คำว่า “ครม.ต่างตอบแทน” ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริง
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องไขปริศนาว่า การ “อยู่ต่อ” ของรัฐบาลแพทองธารนั้น มีเป้าประสงค์อะไร ยิ่งเมื่อ “ฮุน เซน” ประกาศออกมาว่า “ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในระยะเวลา 3 เดือน” แถมยังคุยโวอีกต่างหากว่า “รู้แล้วว่านายกฯ คนใหม่คือใคร” ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้
ความจริงต้องบอกว่า เป็นที่น่าผิดสังเกตมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ทำไมรัฐบาลกัมพูชา โดย “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” คือ “ฮุน เซน” กับ “ฮุน มาเนต” ถึงได้เปิดฉากโจมตีเพื่อนรักที่คบหาสมาคมกันมาเนิ่นนานชนิด “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องแตกหักกันเยี่ยงนี้
“ฮุน เซน” เปิดฉากเล่นงาน “ตระกูลชิน” ด้วยการปล่อยคลิปการสนทนาออกมาเพื่อทำลายรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรด้วยความตั้งใจ จากนั้นก็มีปฏิบัติการที่มิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า เป็นการ “ทวงบุญคุณตระกูลชินวัตร” ที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อหลบหนีออกนอกประเทศ รวมทั้งเย้ยหยันในเรื่องที่ไม่สามารถจัดการ “กองทัพ” ให้ซ้ายหันขวาหันได้ในทุกๆ วาระที่มีโอกาส
ขณะที่เมื่อทางกองทัพเปิดปฏิบัติการตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดการสื่อสาร ควบคุมการเปิดปิดด่านชายแดนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” โกรธเกรี้ยวหนักเข้าไปอีก เพราะกระทบกับรายได้ก้อนโตที่เคยได้รับจากบรรดา “กาสิโน” ที่ตั้งอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์เบื้องลึก ตลอดรวมถึงได้รับคำยืนยันจากแหล่งข่าวที่ติดตามสถานการณ์ในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” ไม่พอใจนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เดินหน้าผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ....” หรือ “กฎหมายกาสิโน” ด้วยมีผลต่อบ่อนในกัมพูชาโดยตรง
ปัจจุบันกัมพูชามีกาสิโนประมาณ 150 แห่ง กลายเป็นประเทศที่มีกาสิโนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่บริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย แหล่งใหญ่ที่สุดคือปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว คาดการณ์ว่ากลุ่มนักพนันมากกว่าร้อยละ 80 เป็นชาวไทย
นอกจากนั้น ยังมีที่เกาะกง ซึ่งติดกับอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นบริการหนึ่งของโรงแรมเกาะกง รีสอร์ท ตั้งอยู่บ้านจามเยี่ยม อำเภอมณฑลสีมา จังหวัดเกาะกง ห่างจากจุดผ่านแดนถาวรคลองใหญ่ประมาณ 800 เมตร ติดกับชายแดนไทยที่บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
เจ้าของกิจการคือ “ออกญา ลี ยงพัด” มีชื่อไทยว่า “พัด สุภาภา” สมาชิกวุฒิสภาและนักธุรกิจชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนและไทยเกาะกง เขาเป็นเจ้าของ บริษัท แอลวายพีกรุป (LYP Group) บริษัทขนาดใหญ่ของกัมพูชา โดยครอบครองพื้นที่นับหมื่นไร่ เป็นอาณาจักรทางธุรกิจภายใต้บริษัทกลุ่มลี ซอ
งานวิจัยระบุว่า “ฮุน เซน” มีบทบาทในการออกนโยบายอนุญาตให้เปิดกาสิโน และถูกระบุว่าเป็น “ลูกพี่” ของ “พัด สุภาภา” ซึ่งถูกนิยามว่าเป็น “กระเป๋าเงิน”
ส่วนที่ไพลินและช่องจอม ที่มีโรยัลฮิลล์และโอเสม็ดรีสอร์ตตั้งอยู่, และบ่อนกาสิโนใหม่ที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศจีน มูลค่าลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท
ขณะที่ “ตระกูลชิน” และ “สมัครพรรคพวก” เองก็ไม่อาจถอยหลังในเรื่องการผลักดันกาสิโนได้ เพราะได้มีการเตรียมการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาว่า ในขณะที่ประเทศชาติเกิดเรื่องเกิดราวต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของ “ทรัมป์” ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถึงยังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ....” หรือ “กฎหมายกาสิโน” อย่างไม่ลดละ
หรือถ้าหากยังจำกันได้ ในช่วงเกิดแผ่นดินไหวจน “อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)แห่งใหม่” ที่กำลังก่อสร้างและใกล้แล้วเสร็จพังทลายลงมา จนมีผู้บาดเจ็บและล้มหายเป็นจำนวนมาก อยู่ๆ ก็ปรากฏข่าวว่า “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” เร่งผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...” หรือ “กฎหมายกาสิโน” เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
หนักไปกว่านั้นคือ “ท่านประธานวันนอร์” นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็จัดให้แบบด่วนจี๋ด้วยการบรรจุให้เป็น “วาระพิเศษ” กันเลยทีเดียว
เหล่านี้ คือ “ใบเสร็จ” ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันกาสิโนของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับในไทย “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี” แจกแจงถึงสิ่งที่จะได้รับหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...” เอาไว้ว่า ในเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ มีกาสิโนไม่เกิน 10% อีก 90% เป็นฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ความจุ 5 หมื่นคน และอินดอร์สเตเดี้ยม สวนน้ำ โรงแรม ร้านอาหาร คาดว่าจะสร้างรายได้ 119,000-238,000 ล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 -39,000 ล้านบาทต่อปี และเก็บภาษีจากธุรกิจอื่น 8,000-35,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ภาษีของกาสิโนขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี มีการจ้างงานและอาชีพใหม่ ๆ ในประเทศเพิ่มขึ้น และที่สำคัญจะมีกฎหมายควบคุมป้องกันการติดการพนันและกำกับดูแลอย่างเคร่งครัดอีกด้วย
ทั้งนี้ ตามแผนเดิม รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเตรียมการเอาไว้ว่า จะผลักดันกฎหมายกาสิโนให้เข้าสู่การพิจารณาของสภาที่จะเปิดประชุมในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ แต่ก็ตัดสินใจชะลอออกไปด้วยติดขัดปัญหาที่จะต้องไปเคลียร์ให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทั้งกับพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในเรื่องของเสียงสนับสนุน ด้วยหมายมั่นปั่นมือว่า การตกรางวัลด้วยการแบ่งสันปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีให้อย่างจุใจ จะทำให้ทุกพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมใจกันยกมือสนับสนุนแบบท่วมท้น
และทั้งกับ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” ว่า มีหนทางที่จะพอรอมชอมกันได้มากน้อยแค่ไหน
นั่นจึงเป็นที่มาของคำสั่งจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ให้นายกรัฐมนตรีผู้เป็นลูกสาวตัดสินใจอยู่ต่อทั้งๆ ที่ถอดใจกลับไปร้องไห้ที่บ้านแล้ว เพื่อ “ถ่วงเวลา” หรือ “ยื้อเวลา” ทำภารกิจสำคัญคือการผลักดันร่างกฎหมายกาสิโนให้ผ่านสภาและสามารถเปิดกาสิโนในประเทศไทยได้จริงๆ
ขณะที่อีกหนึ่งเครือข่ายอำนาจที่รู้เส้นสนกลในในเรื่องนี้เป็นอย่างดีก็คือ “ค่ายสีน้ำเงิน” ดังจะเห็นว่า ประกาศคัดค้านกาสิโนอย่างสุดกำลัง ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเห็นว่า หลังถูกอัปเปหิให้พ้นจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกลายเป็นฝ่ายค้าน และเห็นว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจ้องที่จะผลักดันกฎหมายกาสิโนเข้าสภา “ค่ายสีน้ำเงิน” จึงกระโดดผึงขึ้นมาแสดงตนคัดค้านในทันที
“บุณย์ธิดา สมชัย” สส. อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงมติพรรคภูมิใจไทย หลังการประชุม สส.ของพรรคเป็นครั้งแรกหลังจากที่ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลในคณะรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า จุดยืนของพรรคไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...ด้วยทั้งเนื้อหามีความไม่ครอบคลุมไม่ชัดเจนในเรื่องของประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับ โดยเฉพาะเรื่องหลักคือการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือการป้องกันเรื่องของการรั่วไหลของเงิน ที่สำคัญที่สุดคือประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ชัดเจนและไม่สามารถชี้แจงประโยชน์สูงสุดออกมาได้ ดังนั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม ที่จะมีการประชุมสภาฯ หากมีการพิจารณาเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว พรรคภูมิใจไทยจะโหวตไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
จะว่าไปก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องตลกสิ้นดีสำหรับท่าทีที่กลับไปกลับมาของพรรคภูมิใจไทย เพราะหากยังจำกันได้หลังร่างกฎหมายผ่าน ครม. “เสี่ยหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ในฐานะหัวหน้าพรรคให้สัมภาษณ์เสียงดังฟังชัดเอาไว้ว่า “รัฐบาลเองก็มีการปรับรายละเอียดมาแล้ว เช่น กาสิโนเหลือแค่ 10% เกณฑ์เรื่องคนที่เข้าที่ต้องมีรายได้ขั้นต่ำมี 50 ล้านบาท ซึ่งในส่วนกระทรวงมหาดไทยก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร หากเป็นไปตามนี้ก็ไม่มีปัญหา เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เราก็ได้พูดถึงข้อกังวลของเรา แต่เมื่อไม่ได้เกิดขึ้นก็เป็นไปตามนั้น”
นอกจากนั้น คำถามต่อมาก็คือ การผลักดัน “กาสิโน” อย่างไม่สนสี่สนแปดของรัฐบาลนั้น มีเพียง “ตระกูลชิน” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงฝ่ายเดียวเช่นนั้นหรือ
ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่
เพราะเมื่อสืบสาวราวเรื่องก็พบว่า มี “นายทุนรายใหญ่” เข้าไปมีเอี่ยวด้วย และที่ผ่านมานักธุรกิจรายที่ว่านี้ ก็สามารถเข้านอกออกในพบเจอกับนายใหญ่คนเสื้อแดงปรากฏต่อสายตาสาธารณชนให้เห็นเสมอๆ
เป็น “นายทุนรายใหญ่” ที่ปัจจุบันแผ่ขยายอาณาจักรไปใน่หลากหลายสาขา แต่ที่น่าจับตาและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องกาสิโนก็คือ แวดวง “คริปโตเคอเรนซี่”
เป็น “นายทุนรายใหญ่” ที่มี “โควตารัฐมนตรี” ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรด้วย
กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า เมื่อ “ตระกูลชินและสมัคาพรรคพวก” มีเป้าประสงค์ชัดเจนในเรื่องกาสิโน ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาก็จะยังไม่จบสิ้นง่ายๆ โดยเชื่อว่า “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” มีหมัดเด็ดที่จะเล่นงาน “ตระกูลชิน” ให้กระอักเลือดด้วยการจัดการยึดทรัพย์สมบัติที่ซุกเอาไว้ในกัมพูชา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน หรือจะปล่อยไป เพราะคนที่กระทบหนักที่สุดไม่ใช่เขา หากแต่เป็น “เครือญาติ” ที่ลูกสาวไปแต่งงานกับนักการเมืองซึ่งเป็นคนสนิทของฮุน เซน
ดังนั้น จึงคงต้องติดตากันต่อไปว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรที่ตัดสินใจ “อยู่ต่อ” จะประสบความสำเร็จในการผลักดันให้กาสิโนเกิดขึ้นในประเทศไทยได้หรือไม่ในห้วงเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่ไม่มากนัก โดยเฉพาะคดีความเกี่ยวกับเรื่อง “จริยธรรม” กรณีคลิปการสนทนากับฮุน เซน ที่มีเปอร์เซ็นต์รอดยาก
ที่สำคัญคือ จะสามารถแก้ปมผลประโยชน์อันขัดกันกับเกลอเก่าอย่าง “ฮุน เซน” ได้หรือไม่หลังเขาเปิดเผยแผนของทักษิณ ชินวัตร ที่จะเปลี่ยนแปลงผู้นำไทย รวมทั้งการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยด้วย.