สองหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินระดับประเทศ ‘ก.ล.ต.’ และ ‘ปปง.’ เปิดโต๊ะหารือเครียด ผนึกกำลังยกระดับมาตรการกวาดล้าง ‘อาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ เชิงรุก รับลูกส่งมอบข้อมูลเส้นทางเงินปริศนา พร้อมเร่งเครื่องสังคายนาข้อกฎหมายครั้งใหญ่ ดันมาตรการ ‘Travel Rule’ และการเปิดเผย ‘Ultimate Beneficiary’ หวังกระชากหน้ากาก ‘เจ้าของตัวจริง’ ที่ซ่อนอยู่หลังโครงสร้างธุรกิจซับซ้อน สกัดกั้นการฟอกเงินและการครอบงำกิจการแบบไม่โปร่งใสให้สิ้นซาก
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ความเคลื่อนไหวสำคัญในแวดวงกำกับดูแลตลาดทุนและเสถียรภาพทางการเงินเกิดขึ้น เมื่อนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นำทัพผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย นางวรัชญา ศรีมาจันทร์ รองเลขาธิการ, นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ และนางสาวสุชา บุณยเนตร ผู้ช่วยเลขาธิการ เข้าหารือข้อราชการสำคัญร่วมกับ นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยนายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ และคณะผู้บริหาร ปปง.
ปฏิบัติการ ‘Fast Track’ ยึดทรัพย์-ตัดท่อน้ำเลี้ยง
วาระเร่งด่วนของการหารือครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การติดตามและประสานความร่วมมือเชิงลึกเกี่ยวกับการ “ยึดและอายัดทรัพย์สิน” ของเครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยในเบื้องต้น ปปง. ได้ส่งมอบข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัยและเส้นทางการเงินตามที่ ก.ล.ต. ร้องขอ เพื่อนำไปสู่การขยายผลทางกฎหมายอย่างทันท่วงที
ดันกฎหมายใหม่ หวังผ่าโครงสร้างธุรกิจซ่อนเงื่อน
ไฮไลต์สำคัญของการหารือ คือการตกผลึกร่วมกันในการผลักดัน “การปรับปรุงกฎหมายและกฎเกณฑ์” (Regulatory Overhaul) เพื่ออุดช่องโหว่ในระบบการเงินปัจจุบัน โดยทั้งสองหน่วยงานเห็นพ้องต้องกันในการยกระดับเครื่องมือตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น ได้แก่
1.Travel Rule : การบังคับใช้กฎเกณฑ์การส่งข้อมูลผู้โอนและผู้รับโอนสำหรับธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกรรมการเงินผ่านตัวกลาง เพื่อให้สามารถแกะรอยเส้นทางเงิน (Money Trail) ได้ตลอดสาย
2.Ultimate Beneficial Owner (UBO) : การยกระดับมาตรการตรวจสอบเพื่อหา “ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง” โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อน (Complex Business Structures) หรือการใช้นอมินี เพื่ออำพรางตัวตนเจ้าของที่แท้จริง
3.KYC/CDD ขั้นสูง : การสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและรัดกุมยิ่งขึ้นในกระบวนการรู้จักลูกค้า (KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD)
วิน-วิน ทั้งตลาดทุนและการปราบฟอกเงิน
ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์ “Two-Pronged Approach” ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สำหรับ ก.ล.ต. เครื่องมือเหล่านี้จะเป็นอาวุธสำคัญในการตรวจสอบพฤติกรรมการฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกรณีการ “ครอบงำกิจการ” (Takeover) ที่ไม่โปร่งใสผ่านนอมินีต่างชาติหรือกลุ่มทุนสีเทา ในขณะที่ ปปง. จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและสกัดกั้นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการ “ฟอกเงิน” ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การผนึกกำลังในครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มอาชญากรรมทางเศรษฐกิจว่า ภาครัฐกำลังยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์และบูรณาการกฎหมายเพื่อปิดทุกประตูหนีของเส้นทางเงินผิดกฎหมายอย่างแท้จริง


