Thailand Blockchain Week 2025 มหกรรมบล็อกเชนและการเงินแห่งโลกอนาคต จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ภายใต้แนวคิด “Supercycle: Future of Wealth” คลื่นใหญ่แห่ง การเปลี่ยนผ่านความมั่งคั่ง ที่จะพลิกโฉมมุมมองการลงทุนและระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย และภูมิภาค ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 50 คน อัดแน่นความรู้สัมมนา 15 หัวข้อ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผู้เข้าร่วมงานกว่า 4,000 คน ตอกย้ำความพร้อมไทยก้าวสู่ Digital Asset Hub ของภูมิภาคอาเซียน
จีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) กล่าวว่า Thailand Blockchain Week 2025 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ภายใต้แนวคิด “Supercycle: Future of Wealth” คลื่นใหญ่แห่งการเปลี่ยนผ่านความมั่งคั่ง แนวคิดดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญของโลกการเงิน จากสินทรัพย์แบบดั้งเดิมสู่สินทรัพย์ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงปรับวิธีการลงทุน แต่ยังเป็นการพลิกโครงสร้างระบบเศรษฐกิจโลก จากระบบศูนย์กลางสู่ระบบเปิดที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เห็นได้จาก Bitcoin ที่จากเดิมเคยถูก มองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยง แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับในฐานะ Strategic Reserve Asset หรือสินทรัพย์ สำรองเชิงยุทธศาสตร์ในยุคดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสัญญาณของ Supercycle คลื่นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านระบบการเงินโลก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โลกจะได้เห็นการถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือที่เรียกว่า “The Great Wealth Transfer” จากเศรษฐกิจแบบออฟไลน์สู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็น Digital Asset Hub ของภูมิภาค ด้วยบุคลากรที่มีความสามารถ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และภาคการเงินที่เปิดรับนวัตกรรม
“กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มุ่งมั่นผลักดันนโยบายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อ ต่อการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมส่งเสริมให้เทคโนโลยีบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในระยะยาว เพราะคลื่น Supercycle ไม่ได้เป็นเพียงคลื่นทางการเงิน แต่คือคลื่นแห่งนวัตกรรมและพลังของคนรุ่นใหม่ ที่จะร่วมกันขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” จีราวรรณ กล่าว
ด้านนายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังผ่านช่วงตลาดหมีในปี 2022 โดยนับจากจุดต่ำสุดจนถึงปัจจุบัน มูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ของคริปโทฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการเข้าสู่รอบใหม่ของ “Supercycle” ที่คาดว่าจะเห็นชัดเจนในปี 2026
ขณะเดียวกัน นักลงทุนรุ่นใหม่ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมการลงทุน จากสินทรัพย์ ดั้งเดิมสู่สินทรัพย์ดิจิทัล ข้อมูลจาก Escalent ระบุว่า กลุ่ม Gen Y – Gen Z (อายุ 21–43 ปี) มีสัดส่วน การลงทุนในคริปโทฯ สูงถึง 14% ขณะที่กลุ่มอายุ 44 ปีขึ้นไปลงทุนเพียง 1% หรือแตกต่างกัน มากกว่า 14 เท่า ทั้งยังมีคนรุ่นใหม่กว่า 49% ที่ถือครองคริปโตอยู่แล้ว และอีก 38% สนใจเริ่มลงทุน โดยให้เหตุผลว่า สินทรัพย์ดิจิทัลมี ศักยภาพการเติบโตมากกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม (TradFi) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีบัญชีคริปโทฯ ที่เปิดกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 2.92 ล้านบัญชี หรือราว 45% ของบัญชีในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเปิดมาหลายทศวรรษ ขณะที่ผู้ใช้งานจริง (Active User) ของตลาดคริปโทฯ เพิ่มจาก 5% เป็น 7.47% ในปีล่าสุด สะท้อนแนวโน้มการย้ายฐานนักลงทุนจาก ตลาดดั้งเดิมสู่สินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก จากดัชนี Global Crypto Adoption Index ซึ่งวัดจากการใช้งานศูนย์ซื้อขายและระบบ DeFi ถือเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นจากปีก่อน และยังมีศักยภาพเติบโตอีกมาก
“ประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ด้วยบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ และระบบนิเวศ (Ecosystem) ของผู้พัฒนา สตาร์ทอัพ และนักลงทุนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะกลายเป็น Digital Asset Hub ของภูมิภาคอาเซียน และเป็นต้นแบบของเศรษฐกิจที่เปิดรับเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน” นายสัญชัย กล่าว
สำหรับงาน Thailand Blockchain Week 2025 ในปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเวทีรวมตัวของนักลงทุนและนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สำคัญให้ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และร่วมสร้างโอกาสใหม่ในคลื่นเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ครอบคลุมตั้งแต่การเงิน การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงนโยบายระดับประเทศ
ภายในงานรวบรวมผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 50 คน จากทั้งในและต่างประเทศ โดยมีหัวข้อสัมมนา ที่น่าสนใจและให้ความรู้ 15 หัวข้อ ซึ่งครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่างๆ ทั้ง Bitcoin, Ethereum, Stablecoins, CBDC จนถึงอนาคตของ Digital Reserve และ Digital Finance โดยงานวันแรกมีหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่
Driving Innovation through Digital Asset Space in Thailand Thailand โดย คุณบุตรี หวังศิริรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกของโลกที่มีกฎหมายกำกับ สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2561 โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล 3 ประเภท ได้แก่ คริปโทเคอร์เรนซี โทเคนเพื่อการลงทุน (Investment Token) และโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) การระดมทุนผ่าน Investment Token ต้องผ่าน ICO Portal ที่ทำหน้าที่คัดกรองโครงการ เช่น Destiny Token และ Sirihub Token พร้อมสนับสนุนรูปแบบใหม่ ๆ อย่าง Real Estate-backed ICO, Debt-like ICO, Sustainability Themed และ Soft Power โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับ 24 ราย มูลค่าสินทรัพย์ลูกค้ารวมกว่า 116,000 ล้านบาท และลูกค้าเกือบ 3 ล้านบัญชี ก.ล.ต. ยังส่งเสริมนวัตกรรมผ่าน Regulatory Sandbox และโครงการ Tourist Bigpay รวมถึงเตรียมย้ายการกำกับ Investment Token ไปอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มความเทียบเท่าตลาดทุน พร้อมเน้นให้นักลงทุนตรวจสอบผู้ได้รับใบอนุญาตก่อนลงทุนภายใต้ แนวคิด “SEC Check First”
จำเป็นไหมที่ต้องมี Bitcoin? โดย CK Cheong, CEO Fastwork และ นายทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่) Value Investor โดย CK มองว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน สำหรับคนไม่มีพื้นฐานควรเริ่มจาก S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 10% ต่อปี และย้ำว่าอิสรภาพทางการเงินไม่ได้มาจากการหาสินทรัพย์ ที่ดีที่สุด แต่จากการ “หาเงินเย็น ลงทุน และทำซ้ำ” ส่วน Bitcoin ถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อระยะยาว เพราะมูลค่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเงินลดลง และการถือเงินสดคือความเสี่ยงที่แท้จริง ขณะที่ นายทิวาเน้น การเลือกหุ้นที่ตลาดมองข้าม ถือยาวแบบนักลงทุนคุณค่า มองว่า AI คือจุดบรรจบของเทคโนโลยีและ ทุนโลก เตือนถึงความเสี่ยงจากสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีน–สหรัฐฯ และมองว่าอิสรภาพทางการเงินคือ การมีทางเลือกใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่ถือสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ทั้งนี้ สองเห็นตรงกันว่า การลงทุนควร กระจายความเสี่ยง และควรมองระยะยาวด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยกระแสหรือความกลัว
ขณะที่ในวันที่ 2 การเวทีเข้มข้นขึ้นเริ่มต้นด้วยหัวข้อ เงินฝืดคือหายนะ : ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ Bitcoin จะหยุดพัฒนาและพังพินาศ จริงหรือ? โดย นายสิรภพ นิลบดี (ขิงว่านะ) Head of Bitcoin Education จาก Right Shift และ นายปกป้อง คล่องใจภักดี เจ้าของเพจ อันเฟียต-Unfiat Thai Ratel ซึ่งได้ข้อสรุปว่า เงินฝืดไม่ใช่ต้นเหตุของเศรษฐกิจตกต่ำ หากแต่เป็น Bad Deflation ที่เกิดจากการขาดความเชื่อมั่น ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าหากปล่อยให้กลไกตลาดฟื้นตัวเอง ระบบจะกลับมามั่นคงตามธรรมชาติ โดยคนจะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้นแต่ไม่หยุดหมุนเวียน และในโลกที่ใช้ Bitcoin ดอกเบี้ยจะสะท้อน มูลค่าแท้จริงของเงิน นอกจากนี้ เงินฝืดเป็นกลไกคัดกรองธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพให้ออกจากระบบ เศรษฐกิจจะฟื้นด้วยการกระจายทรัพยากรไปสู่ผู้บริหารที่เก่งกว่า และการพิมพ์เงินเพื่ออุ้มธุรกิจที่ล้มเหลว ต่างหากคือสิ่งที่ทำลายระบบ อีกทั้งในระบบที่ใช้ Bitcoin แหล่งเงินทุนจะมาจากเงินออมมากกว่าเครดิต และนักลงทุนจะกลายเป็นผู้ร่วมทุนแทนเจ้าหนี้ ทั้งสองเห็นตรงกันว่า ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ Bitcoin จะไม่พังพินาศ
วิธีรับมือกับการเป็นคนรวยในตลาดกระทิง ภาค 2 โดยคุณลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท CDC ChalokeDotCom นายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว Chief Executive Officer ของ บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด นายชวิศ กฤษณานุวัตร์ ผู้ก่อตั้งเพจ Srisiam
โดยกูรูมองว่าความมั่งคั่ง ที่แท้จริงไม่ควรวัดด้วยเงินบาทหรือดอลลาร์ซึ่งเสื่อมค่า แต่ควรวัดด้วยสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อม เช่น Bitcoin หรือทองคำ พร้อมแนะให้แบ่งพอร์ตเป็น 3 ส่วนเพื่อสร้างความสุขระยะยาว พร้อมแนะนำว่าการลงทุน ต้องมีวินัย มีจุดขาย–จุดตัดขาดทุนที่ชัด โดยปีหน้ามองว่ามีโอกาสเกิดการไหลของเงินจาก Bitcoin สู่ Altcoin รอบใหม่ แต่จะไม่ร้อนแรงเท่ารอบก่อน ซึ่งทั้งสามเห็นตรงกันว่า การถือ Bitcoin ควรเป็นการเก็บ ความมั่งคั่งระยะยาว มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น และการเป็น “คนรวยที่มีความสุข” ต้องรู้จักบริหาร พอร์ตอย่างมีสติและเข้าใจในสิ่งที่ถือครองจริง ๆ
อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในวันที่สหรัฐฯ โอบรับ Bitcoin โดย นายพิริยะ สัมพันธารักษ์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Right Shift ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและรองผู้จัดการใหญ่อาวุโสธนาคารกรุงเทพ และทิพยสุดา ถาวรามร อดีตรองเลขาธิการ ก.ล.ต. ซึ่งวิทยากรมองว่า กฎหมายไทยถือว่าก้าวหน้า เพราะทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีสถานะทางกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแลอย่างถูกต้อง แต่ยังต้องเพิ่มความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่อง Stablecoin และ DeFi ที่ยังไม่มีกรอบ ควบคุมที่เหมาะสม ในอนาคตอยากให้รัฐบาลพิจารณาการถือครอง Bitcoin เป็น Strategic Reserve และค่อย ๆ เปิดระบบให้ภาคธุรกิจสามารถใช้ Bitcoin หรือ Stablecoin ได้อย่างเสรี ภายใต้กรอบที่โปร่งใส เนื่องจากเห็นว่าการนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาในระบบจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย เพราะอนาคต Digital Asset และ Traditional Asset จะรวมเป็น Investment Asset เดียวกัน โดยภาครัฐต้องสร้างสมดุล ระหว่างการเปิดรับนวัตกรรมกับการคุ้มครองผู้ลงทุน เชื่อว่าระบบการเงินดั้งเดิมกำลังเปิดประตูต้อนรับ โลกการเงินใหม่ ที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวพร้อมกัน
งานในปีนี้ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผู้เข้าร่วมงานกว่า 4,000 คน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Thailand Blockchain Week 2025 จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้พร้อมรับคลื่น “Supercycle” และก้าวสู่ “Future of Wealth” อย่างเต็มภาคภูมิ
ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโลกหลากหลายองค์กร นำโดย Tether (USDT) ผู้ออกเหรียญ Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ร่วมด้วย TRON หนึ่งในเครือข่ายบล็อกเชนชั้นนำ ระดับสากลที่เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) และใช้เหรียญ Tronix (TRX) เป็นสกุลเงินหลักภายในระบบนิเวศ, BinanceTH กระดานแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รายใหญ่ของประเทศไทยที่มีคู่เหรียญเทรดมากที่สุด, Ledger ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Hardware Wallet) ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้งานทั่วโลก, JFIN ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานการเงิน ดิจิทัลของไทยที่ร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน รวมถึง Beacon VC บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และพันธมิตรอีกมากมาย


