xs
xsm
sm
md
lg

เปิดมาตรการสร้างเสน่ห์ฟื้นตลาดทุน หวังนโยบายรัฐเอื้อ ชูFast Trackดึงต่างชาติระดมทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ”เดินหน้าเสนอรัฐ ให้ต่างชาติรับสิทธิส่งเสริมการลงทุน BOI พร้อมดันมาตรการ Fast Track เอื้อระดมทุนในนตลาดทุนไทย หวังหนุน GDP โต ด้าน ตลท.เตรียมสายโรดโขว์นอก ชูโครงการ Jump+ พร้อมนำแผนธุรกิจ บจ.67 แห่งอวด ขณะ SET Index เดือนกันยายน 68 ขยับเพิ่ม 3.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ปิดที่ 1,274.17 จุด แนะนักลงทุนติดตามปัจจัยสำคัญ"การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ คาดเห็นโอกาสการฟื้นตัวต่อเนื่องของ SET Index  





  สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)    เดินหน้ายื่นหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปลดล็อกกฎเกณฑ์ให้นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยได้สะดวกขึ้น คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และผลักดันให้ GDP ไทยกลับมาเติบโตระดับ3% ภายในปี 2571

ทั้งนี้ การเดินหน้าของ FETCO ครั้งนี้ เกิดจากการร่วมมือกับ 4 หน่วยงานหลักคือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สำนักงาน ก.ล.ต., ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ FETCO จัดตั้ง “Taskforce ปฏิรูปตลาดทุนไทย” เพื่อขับเคลื่อน 4 มาตรการ Quick Win ภายใน 4 เดือน ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการเปิด “Fast Track” ให้บริษัทต่างชาติที่ได้รับ BOI สามารถจัดตั้งบริษัทและเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้รวดเร็วขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็น IPO นำร่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต เช่น EV, Semiconductor และ Data Center ภายใน 2–3 ปีข้างหน้า ด้วยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และยุโรป จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเพิ่มมูลค่าตลาด (Market Cap) ของตลาดทุนไทย และสร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว

นอกจากนี้ FETCO ยังเสนอ 4 มาตรการ เพื่อยกระดับตลาดทุนไทย ประกอบด่วย " Quality Demand" ประกอบด้วยการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการขยายฐานผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ เพิ่มการให้บริการการลงทุนในตลาดหุ้นและผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตของผู้ลงทุน (wealth aggregator) และการส่งเสริมบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทย

" Attractive Supply "คือการดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทย , การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน ผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up Program ,การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้มีประสิทธิภาพและทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ ,การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งระดมทุนของ SMEs และ New Economy ให้น่าสนใจ และ การเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB และมุ่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล

"Trusted Market" คือการสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย,การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสมและการใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก

"Supportive Ecosystem "คือการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย, นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อยและเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล ,ทบทวนหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ลงทุน และ(4) การให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผลจากการหารือของ 4 หน่วยงานพร้อมเดินหน้าผลักดัน 4 มาตรการดังกล่าว โดยทูกฝ่ายเพื่อระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางส่งเสริมความสามารถของตลาดหุ้นไทย ให้แข่งขันได้และยืดหยุ่นต่อความท้าทาย เพื่อยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย



 ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมสร้างศักยภาพให้ตลาดทุนไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อตลาดทุนสามารถดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพให้เข้ามาระดมทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มจำนวนนักลงทุนในตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดทุนไทยมีประสิทธิภาพในการเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งมาตรการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่หน่วยงานด้านตลาดทุนได้ดำเนินการมาโดยตลอด และขณะเดียวกันก็ถือเป็นมาตรการ Quick Win ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น แต่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการพัฒนาตลาดทุนในภาพรวม พร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันและสานต่อมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”

 


ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  กล่าวว่า “ก.ล.ต. ได้ริเริ่มจัดตั้งคณะทำงาน Taskforce ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันระยะยาวอย่างยั่งยืน สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งยกระดับความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทย โดยเชื่อมั่นว่าการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบต้องอาศัยความร่วมมือทำงานของทุกภาคส่วนในตลาดทุน โดยชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย ที่เสนอโดยคณะทำงาน Taskforce ครอบคลุมทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งจะมีการตั้งคณะทำงานย่อย (Working Group) ในการติดตามและผลักดันมาตรการต่อเนื่อง เพื่อเร่งขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระยะสั้น พร้อมกันนี้ ในระยะถัดไป ก.ล.ต. จะเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในส่วนอื่น ทั้งตลาดตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานชุดอื่นเพิ่มเติมต่อไป ซึ่ง ก.ล.ต. พร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ”








 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO  กล่าวว่า “การขับเคลื่อน ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ เป็นความร่วมมือสำคัญจากทุกภาคส่วนในตลาดทุน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยให้แข็งแกร่ง พร้อมรับต่อความท้าทาย และยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยต่อไป โดยเฉพาะการมุ่งเน้นการสร้าง Quality Demand ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมนั้น จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาว ทั้งการพัฒนาบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นการลงทุนระยะยาวให้เพียงพอพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตเพื่อการบริหารความมั่งคั่งของผู้ลงทุนอย่างครบวงจร นอกจากนี้ การส่งเสริมบทบาทของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทยให้มีเสถียรภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น เราเชื่อมั่นว่ามาตรการเหล่านี้จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในเสาหลักของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต”


เตรียมโรดโชว์ฮ่องกง ดึงเม็ดเงินต่างชาติ

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า “ความร่วมมือของคณะทำงานครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และความน่าสนใจของตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมผลักดันมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การดึงดูดกิจการ New Economy ที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียน การยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+ ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอข้อมูลทั่วไป แต่คือการให้บริษัทต่าง ๆ นำแผนกลยุทธ์ที่ได้รับการอนุมัติออกไปสื่อสารให้นักลงทุนรับทราบถึงเป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวังใน 3 ปีข้างหน้าและจะแจ้งความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลของผู้ลงทุน ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ตลท. มุ่งมั่นให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันระดับภูมิภาคเน้นการพัฒนาคุณภาพตลาด สร้างความน่าเชื่อถือ และยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือครั้งนี้ต้องรอดูว่าส่วนไหนจะทำได้รวดเร็วและสำเร็จก่อน อีกทั้งเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและบางอุตสาหกรรมยังมีการเติบโตอย่าง Healthcare หรือกลุ่มการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มองว่ามีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Wellness Tourism Sector และกลุ่มอาหาร (Food) เพราะรัฐบาลต้องการผลักดันให้ยกระดับศักยภาพและสร้างนวัตกรรมด้านอาหารซึ่งเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น ตลท. ได้เดินทางไปพบปะกับนักลงทุนสถาบันในสิงคโปร์ และอยู่ในระหว่างเตรียมเดินทางไปฮ่องกง เพื่อหาข้อมูลและรับฟังเสียงของนักลงทุนต่างชาติเพื่อสำรวจความต้องการ เป็นการต่อยอดการดึงเม็ดเงินต่างชาติหรือ Fund Flow กลับมาในตลาดทุนไทย ส่วน Quick Win นั้่นเดินหน้าหารือกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ หาวิธีไม่ต้องปรับหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว เพราะการผลักดันโครงการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เชื่อว่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้น




ดัชนีหุ้นเดือน ก.ย.ปรับเพิ่ม3%




นายศรพล ตุลยะเสถียร   รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลต่อ SET Index ในวงจำกัด เนื่องจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่ประเมินว่าเป็นเพียงปัจจัยภายนอกระยะสั้นที่อาจสร้างความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนชั่วคราวเท่านั้น โดยปัจจัยสำคัญที่ควรติดตาม ได้แก่ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่มุ่งเน้นหลักการ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ผ่านนโยบาย “Quick Big Win” รวมถึงความร่วมมือกันของหลายภาคส่วนในการปฏิรูปเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทจดทะเบียนที่กลับมาระดมทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนเพิ่มขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่เข้าจดทะเบียนใหม่ในวันแรกที่ค่อนข้างสูง แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เริ่มชะลอตัวลง

โดยความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ขณะที่ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและนโยบายการเงินการคลังของสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองคำที่ราคาในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับกรณีรัฐบาลสหรัฐฯ ชัตดาวน์ ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งในอดีต และส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาไม่นาน ผู้ลงทุนจึงไม่ได้ตระหนกกับประเด็นดังกล่าวมากนัก สะท้อนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจัยดังกล่าว ดัชนี SET Index ในเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า มาปิดที่ 1,274.17 จุด

สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกันยายน 2568 ซึ่ง SET Index ปิดที่ 1,274.17 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยตั้งแต่ต้นปี SET Index ปรับลดลง 9.0% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

ขณะมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,155 ล้านบาท ลดลง 31.0% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 43,028 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 11,859 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกันยายน 2568 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 96,243 ล้นบาท

ทั้งนี้ เดือนกันยายน 2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 47.06% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายที่ 37.63% ของมูลค่าการซื้อขายรวม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 33.98%

และเดือนกันยายน 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เงินเทอร์โบ (TURBO) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ (SKIN)

สำหรับ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน   ณ  สิ้นกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 3.86% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.02%

ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกันยายน 2568 พยว่ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 457,290 สัญญา เพิ่มขึ้น 23.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures, SET50 Index Options, Gold Online Futures และ Currency Futures อย่างไรก็ดี ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 423,887 สัญญา ลดลง 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมหารือกันกับ 4 หน่วยงานหลักที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้ความเห็นว่าหน่วยงานหลักภาคตลาดทุนต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุน เพื่อให้ดำเนินการขับเคลื่อนให้เร็วที่สุด ทั้งการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคซึ่งจะต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจ หรือกิโยติน กฎหมาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการที่จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่เป็นตัวชี้วัดด่านแรกในการแสดงความมั่งคั่งของประเทศให้ได้รับความเชื่อมันจากทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ส่วนการที่ FETCO เสนอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนในเรื่องของการทำโครงการ TISA (Thailand Individual Savings Account) เป็นหุ้น คาดว่าน่าจะสามารถทำได้ในไม่ช้า ซึ่งรายละเอียดของวงเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นต้องหารือกันอีกครั้ง

นี่คือมาตรการเร่งด่วนที่หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ต้องเร่งผลักดันและขับเคลื่อนให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย แต่จะได้มากน้อยเพียงใดระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนี้คือบทพิสูจน์แรกของ ครม.ใหม่ รอประเมินก้นว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นมากน้อยเพียงใด


กำลังโหลดความคิดเห็น