ภายในงาน Bitcoin Conference 2024 ที่ผ่านมามีไฮไลท์สำคัญคือการประกาศให้สหรัฐฯเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมคริปโตของโลกจากโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเตรียมเสนอกฎหมายให้ Bitcoin เข้ามาเป็นทุนสำรองของรัฐบาลสหรัฐฯโดยสว.จากฝั่งรีพับรีกัน
ผู้ที่เสนอกฎหมายนี้คือ Cynthia Lummis โดยเธอให้ข้อมูลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องเข้าซื้อ Bitcoin สัดส่วน 5% ของซัพพลายทั้งหมดและถือครองไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี จุดประสงค์หลักคือลดหนี้สาธารณะของประเทศลง โดย Lummis อธิบายว่า หากร่างกฎหมายนี้ผ่าน จะใช้เวลา 5 ปีในการดำเนินการ
ขณะที่ฝั่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เองได้พูดถึงประเด็นนี้เช่นกันว่ารัฐบาลสหรัฐฯพิมพ์เงินออกมาซื้อหนี้ตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้จะยิง่ทำให้หนี้ไม่มีวันที่จะลดลงไปได้และจะยิ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ เขายังบอกด้วยว่ารัฐบาลสหรัฐฯเองที่ทำลายสกุลเงินของตัวเอง
ข้อมูลล่าสุดตอนนี้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯพุ่งแตะระดับ 35 ล้านล้านดอลลาร์ และนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาตัวเลขนี้ได้พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องจากการทำนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายด้วยการกดดอกเบี้ยต่ำ และแม้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯจะมีการถอนสภาพคล่องและขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วหลายรอบก็ไม่สามารถที่จะดึงมูลหนี้สาธารณะนี้ลงได้
นั่นก็เพราะการเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลออกมาเพื่อที่จะนำเงินบางส่วนไปจ่ายคืนหนี้เดิมการทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการกู้เงินตัวเองไปคืนหนี้ตัวเอง การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงก็เพื่อที่จะดึงเม็ดเงินเอาไว้ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความน่าเชื่อถือสูงและเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกอยู่แล้ว เพราะการที่อัตราดอกเบี้ยหรือ FED Fund Rate อยู่ในระดับสูง ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลก็จะอยู่ในระดับที่สูงไปด้วย
การที่จะหยุดวงจรของการกู้เงินตัวเองมาคืนหนี้ตัวเองได้ รัฐบาลสหรัฐฯจำเป็นที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์อื่นนอกจากสกุลเงินของตัวเองมาเป็นทุนสำรอง นอกจากทองคำแล้ว Bitcoin ก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติของการเป็นสินทรัพย์สำรองของการสร้างสกุลเงิน Fiat จากการที่มีซัพพลายจำกัดและมีการลดจำนวนซัพพลายที่จะออกมาลงทุกสี่ปีหรือ Halving ทำให้วัฐจักรราคาของ Bitcoin เหมือนกับทองคำคือระยะสั้นราคาอาจมีรอบการขึ้นลงแต่ในระยะยาวราคามีแต่แนวโน้มขาขึ้น
การที่มีสินทรัพย์ที่มูลค่าระยะยาวเติบโตขึ้นมาเป็นสินทรัพย์สำรองในการผลิตเงิน Fiat จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศมีโอกาสที่จะลดลงได้
ส่วนนโยบายดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและดำเนินนโยบายนี้จริงก็ต้องมาดูว่า สว. และ สส.ในสภาจะมีมุมมองอย่างไร โดยส่วนของพรรคเดโมแครตเองก็ดูมีท่าทีที่เป็นมิตรต่อคริปโคมากขึ้นเช่นกัน
ส่วนผลกระทบที่จะมีต่อ Bitcoin บทวิเคราะห์จาก VanEck บริษัทจัดการการลงทุนที่บริหารทั้ง Bitcoin และ Ethereum ETF คาดการณ์ว่า Bitcoin จะมีมูลค่าตลาดรวม 61 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 2.9 ล้านดอลลาร์ ต่อ BTC ในปี 2050 จากความต้องการมหาศาลเพื่อใช้เป็นหลักประกันในการชำระเงินทางการค้าและเป็นเงินสำรองสำหรับธนาคารกลาง
โดยเป็นไปได้ที่ภายในปี 2050 Bitcoin อาจถูกใช้เพื่อชำระการค้าระหว่างประเทศสัดส่วน 10% ของโลกและการค้าภายในประเทศ 5% ของโลก โดยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ธนาคารกลางถือสินทรัพย์ 2.5% ของตนเป็น Bitcoin
ด้วยคุณสมบัติเดียวกับทองคำที่เคยเป็นสินทรัพย์หลักในการผลิต Fiat Currency ต้องติดตามกันต่อไปว่า Bitcoin หากถูกนำมาใช้เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางจะสามารถแก้ไขปัญหาการด้อยค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้จริงหรือไม่และธนาคารกลางทั่วโลกจะให้การยอมรับแค่ไหน
หมายเหตุ บทความนี้เป็นการวิเคราะห์พื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างไร
บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน นักลงทุนต้องพิจารณาโอกาสและความเสี่ยงหลายด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)
สงวนลิขสิทธิ์บทความเฉพาะสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ MGR online , iBit และ ที่ได้รับอนุญาติจากผู้เขียนซึ่งเป็นเจ้าของบทความเท่านั้น