“ศุภาลัยวุฒิ สายเชื้อ”เปิดแนวคิด ดึงทุนสำรองระหว่างประเทศของธปท.กว่า 3 ล้านล้านบาทออกมาตั้ง”กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” จากที่มีอยู่ปัจจุบันประมาณ 9 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ประเทศ อิงโมเดล GIC ของสิงคโปร์ ที่ได้ผลตอบแทนกว่า 20 % ด้านโฆษก ธปท. ระบุ แนวคิดดึง ทุนสำรองประเทศตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ ทำไม่ได้ แต่ต้องมีธรรมาภิบาลและโปร่งใส เพราะเป็นเงินของประเทศ สะท้อนความมั่นคง หากไม่ระวังกระทบความเชื่อมั่นและเครดิตประเทศ
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก สะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปีค.ศ. 1991-1996 (พ.ศ.2534-2539) ยอดขายของภาคธุรกิจเติบโตเฉลี่ย 13% ขณะที่การเกินดุลงบประมาณเฉลี่ย 2.9% ต่อปี แต่ปัจจุบันเติบโตเพียง 2% และ 3.9%ตามลำดับ นอกจากนี้ธุรกิจ SME เผชิญสถานการณ์ที่แย่กว่าช่วงโควิด-19 จากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ลดต่ำจาก 3 ล้านล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 มาที่ 2.8 ล้าน ในปี 2568
โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเปลี่ยน โดยสัดส่วนของการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมต่อ GDP ลดลง แต่สัดส่วนของภาคบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยควรต้องพึ่งพิงภาคบริการมากขึ้น และหาจุดแข็งใหม่ของภาคสินค้าอุตสาหกรรมสัดส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเทียบกับจีดีพีของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนภาคบริการนั้นเพิ่มขึ้น เพราะไทยกำลังพัฒนาประเทศไปสู่การให้บริการมากขึ้น หลายประเทศก็เป็นอย่างนี้หมด ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสินค้าภาคอุตสาหกรรมคือ จีน ที่เร่งการผลิตผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง แต่จีนก็ยังปิดจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้ใน อุตสาหกรรมอาหาร ต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ประเทศไทยส่งออกอาหารไปจีน อยู่ในอันดับที่ 5 หรือ 6 ดังนั้น หากไทยต้องการจะอยู่รอด ต้องปรับตัวไปสู่ภาคบริการ และภาคการผลิตอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตร
อย่างไรก็ตามภาครัฐต้องสร้างกฎระเบียบ และแก้กฎระเบียบบางอย่าง โดยเฉพาะการปลดล็อกการผูกขาด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การกำหนดราคาที่เหมาะสมเรื่องพลังงาน การพัฒนาโลจิสติกส์โดยการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาพัฒนาใช้รางรถไฟได้ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ประเทศไทยควรนำทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองกว่า 9 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงเกินความจำเป็นตามเกณฑ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าระดับที่เหมาะสมควรอยู่ราว 100% ของความเพียงพอ แต่ไทยมีอยู่ถึง 239.6% หรือเกินเกณฑ์กว่า 139% ซึ่งเงินก้อนนี้ถูกเก็บโดยไม่ใช้ประโยชน์ ขณะที่กว่า 90 ประเทศทั่วโลก นำทุนสำรองส่วนเกินไปตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว ตัวอย่างเช่นกองทุน GIC (Government of Singapore Investment Corporation) โดยรัฐบาลสิงคโปร์ มีสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างรายได้เข้ารัฐเฉลี่ย 20% ต่อปี
“ถ้าประเทศไทยดึงเงินส่วนนี้ออกไป 1 แสนล้านเหรียญ หรือ 3 ล้านล้านบาท สามารถทำ Sovereign Wealth Fund ได้ทันทีประเทศไทยมีศักยภาพ ตรงนี้จะปลดล็อกและทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย” นายศุภวุฒิ กล่าว
ธปท.เผยใช้ทุนสำรองฯ ทำกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ ต้องมีธรรมาภิบาลโปร่งใส เพราะเป็นเงินของประเทศ
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ข้อเสนอให้ นำทุนสำรองมาทำกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ประเด็นเกี่ยวกับทุนสำรองประเทศได้พูดคุยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีโครงสร้างของทุนสำรองที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของรายได้และรูปแบบเศรษฐกิจ บางประเทศอาจมีทุนสำรองในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันทางการเงิน และทุนสำรองที่มาจากการค้าการขาย ซึ่งบางประเทศอาจจะมีการค้าขายทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมัน หรือบางประเทศเช่น สิงคโปร์มีรายได้จากธุรกิจด้านการเงิน
โดยทุนสำรองที่มีภาระผูกพันทางการเงิน ในประเทศที่มีการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนจะต้องมีทุนสำรองรองรับในกรณีที่นักลงทุนจะนำเงินออกไป เพื่อให้มั่นใจว่ามีเงินตราไว้เพียงพอ ซึ่งทุนสำรองเป็นหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นเพราะหากทุนสำรองไม่เพียงพอก็อาจจะกระทบต่อเรื่องเครดิตเรตติ้งประเทศ
อย่างไรก็ดีแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ต้องดูในโครงสร้างการจัดตั้ง ต้องมีธรรมาภิบาลหากจะนำเงินสำรองส่วนนี้ออกไปต้องทำด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นเงินของประเทศ ต้องมีการบริการจัดการที่ดีและโปร่งใสมากๆ
“เรื่องกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ต้องดูขนาดและการบริหารจัดการที่โปร่งใส การที่มีทุนสำรองที่เยอะเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ สามารถรองรับความเสี่ยงต่างๆได้ดี มีการถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของขนาดทุนสำรองอยู่ตลอดเวลา และเรื่องนี้ด้วย ซึ่งต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป”