รองนายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยันให้ความสำคัญการรักษาวินัยการคลัง หลังเครดิตเรตติ้งประเทศลด เดินหน้ายกระดับการจัดเก็บรายได้ สร้างธรรมาภิบาลการคลัง เตรียมปฏิรูปแผนการคลังครั้งใหญ่ในเดือน พ.ย. 68 สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังจากเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิกระทรวงคลัง ว่า นโยบายของคลังจะเน้นรักษาวินัยการคลังให้เกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นทุกนโยบายจะต้องมีธรรมาภิบาลการคลัง ต้องชี้แจงได้ว่านโยบายนั้นมีต้นทุนเท่าไร ประโยชน์เป็นอย่างไร ซึ่งได้เตรียมหารือกับปลัดคลังและอธิบดีในกระทรวงเพื่อให้ทราบนโยบายและเป้าหมาย โดยเฉพาะ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่ปรับมุงมองประเทศไทย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่าย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศปรับมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency IDR) ของประเทศไทยเป็นเชิงลบจากเดิมคงที่ พร้อมคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ นั้น ได้หารือกับปลัดกระทรวงการคลังและทีมของกระทรวงฯ ในเรื่องดังกล่าวมาตลอด โดยตระหนักดีว่าสิ่งที่ฟิทช์เตือนเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ที่ต้องเน้นวินัยการคลังและฐานะการคลังเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นนโยบายเศรษฐกิจแม้จะมีเวลาสั้น 4 เดือน ก็จะพยายามทำให้ตอบโจทย์ความกังวลของหน่วยงานต่างๆ ตามนโยบาย Quick Big Win คือต้องเร็ว ใหญ่พอ และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
”ที่ผ่านมาจากการที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมจัดเก็บรายได้มาก่อน ทำให้รู้วิธีในการยกระดับศักยภาพในการจัดเก็บรายได้ภายใต้ข้อจำกัดที่ไม่ต้องแก้กฎหมาย ทั้งการปฏิรูปรายได้ ขณะที่มีเป้าหมายที่จะยกระดับธรรมาภิบาลการคลังเพื่อตอบโจทย์หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency)“
ขณะที่ในเดือน พ.ย. 2568 จะมีการทำ Medium Term Fiscal Framework (MTFF) เป็นการปรับแผนการคลังครั้งใหญ่ โดยตั้งใจจะสร้างความมั่นใจให้เห็นว่ามีแผนที่ชัดเจนในการปฏิรูปการคลัง ขณะที่ยังมีเป้าหมายในการขาดดุลระยะยาวไม่เกิน 3% ต่อ GDP
“จากการอ่านรายละเอียดของเรตติ้งเอเจนซี่ระบุว่าต้องเปิดเผยสมมติฐาน หรือ assumption และต้องแสดงให้เห็นว่าทำตามสมมติฐานนั้นได้หรือไม่และจะทำอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่จะพูดกับเรตติ้งเอเจนซี่คือ Action Speaks louder than Words แล้ว จะทำให้ดู หลังจากนี้ไม่ว่าเราจะทำนโยบายอะไรต้องเน้นเรื่องการสร้างศักยภาพเศรษฐกิจและรักษาวินัยการคลังด้วย อะไรที่ทำได้ก็จะทำเลย ส่วนที่ทำไม่ได้ก็จะทำเป็นแผนไว้เพื่อยกระดับความโปร่งใสและธรรมาภิบาลการคลัง”
ขณะที่จากการที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะใช้ประสบการณ์ที่เคยทำ PPP Fast-track เพื่อทำโครงการลักษณะเดียวกันที่จะช่วยปลดล็อกปัญหาที่คำขอ BOI มีมากแต่การลงทุนจริงยังไม่เกิดขึ้นมากนัก
“นอกจากเรื่องฟื้นสั้น มุ่งยาว ยกระดับศักยภาพของประเทศแล้ว ที่บอกว่าประเทศไทยไม่มีอนาคต เราจะโฟกัสให้ชัด และทำให้เกิดขึ้นจริงใน 4 เดือน โชคดีที่ผมรู้จักพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ ที่รู้จักกลไกของกระทรวงการคลังทั้งหมด ตอนนี้เขายังไม่ให้ผมสั่งการเรื่องนโยบาย แต่ความเป็นเพื่อนก็คุยกันได้ ตอนนี้ก็เลยได้เริ่มคุยกันเรื่องการผลักดันเศรษฐกิจแล้ว”