หุ้นบริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL ตั้งแต่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรก สร้างตำนานความฉาวโฉ่ทิ้งไว้ ล่าสุดก่อธุรกรรมที่ฉาวโฉ่ซ้ำขึ้นมาอีก จนตลาดหลักทรัพย์ฯต้องสั่งให้ชี้แจงปมธุรกรรมที่ต้องสงสัย ภายในวันที่ 24 มีนาคมนี้ และให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลในงบการเงินและติดตามคำชี้แจงของบริษัทฯ
ในงบการเงินปี 2567 ผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตกรณีบริษัททำหนังสือ แจ้งความประสงค์ไม่ซื้อที่ดินที่จะสร้างศูนย์กระจายสินค้า และวางเงินมัดจำ 80 ล้านบาท หรือ 30% ของราคาซื้อที่ดิน และไม่สามารถขึ้นเงินจากเช็คที่ได้รับคืนจากผู้ขายได้
รวมทั้ง TPL มีการลงทุนใน บริษัท วอลตัน อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งการทำธุรกรรมใช้เงินจากการระดมทุนจากประชาชน (IPO) รวม 125 ล้านบาท คิดเป็น 31% ของเงิน IPO ซึ่งมีนัยสำคัญและอาจมีผลกระทบต่อแผนขยายธุรกิจ หรือผลการดำเนินงานของบริษัท
TPLระบุว่า จะใช้เงินจากการระดมทุนจากประชาชน ในการสร้างศูนย์กระจายสินค้า 190 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของวงเงิน IPO และลงทุนในธุรกิจใหม่ 105 ล้านบาท คิดเป็น 27% ของวงเงิน IPO
เดือนกรกฎาคม 2567 บริษัทฯได้นำเงินไปซื้อที่ดิน ต่อมาทำหนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ซื้อที่ดิน แต่ไม่สามารถขึ้นเงินเช็คที่ได้รับคืนจากผู้ขายได้ โดยฝ่ายบริหารบริษัทฯอยู่ระหว่างติดตามทวงถาม ซึ่งเจ้าของที่ดินคือ ผู้ถือหุ้น TPL สัดส่วน 2.03%
สำหรับการไปลงทุนใน บริษัท วอลตันฯ 45 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าบริษัทจัดตั้งเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ถือหุ้นโดยบริษัทเอทีฟ พีทีอี 45% นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา 31% และ TPL 23%
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้ TPL ชี้แจงความคืบหน้าเเละแผนการลงทุนในธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า เหตุผลในการยกเลิกการซื้อที่ดิน ความคืบหน้าในการติดตามเงินมัดจำและการดำเนินการกับหลักประกัน รายละเอียดที่ตั้งที่ดินและความสัมพันธ์ของผู้ขายที่ดินกับกลุ่มบริษัท เช่น ผู้ถือหุ้น กรรมการ และผู้บริหาร
ความคืบหน้าและแผนการลงทุนในบริษัทวอลตันฯ เช่น การก่อสร้างโรงงาน การมีรายได้เชิงพาณิชย์และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และความเห็นของคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของการจ่ายเงินมัดจำ
TPL นำหุ้นจำนวน120 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 3.30 บาท โกยเงินไป 390 ล้านบาท โดยหุ้นประเดิมเข้าซื้อขายในตลาด MAI เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566
หุ้นเปิดซื้อขายที่ราคา 5.90 บาท และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 7.15 บาท ก่อนถูกทุบร่วงลงมาต่ำสุดที่ 2.06 บาท แต่กระเตื้องขึ้นมาปิดที่ 2.20 บาท ต่ำกว่าจอง 1.08 บาท หรือหรือต่ำกว่าจอง 35.73%
ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ได้ตรวจสอบการซื้อขายหุ้น TPL ในวันแรกทันที และเตือนให้นักลงทุนศึกษาข้อมลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย โดยระบุว่า สภาพการซื้อขายหุ้นในช่วงเช้า มีข้อน่าสังเกตหลายประการ และมีแรงเก็งกำไรสูง โดยมีการซื้อขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคลทั้งก่อนเปิดตลาด และระหว่างซื้อขาย
ในช่วงก่อนเปิดตลาด พบว่ามีคำสั่งเสนอซื้อกระจุกตัวในกลุ่มบุคคลสัดส่วนเกือบ 70% ของปริมาณการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด มีผลให้ราคาเปิดที่ 5.90 บาท ขณะที่การซื้อขายระหว่างวันในภาคเช้า พบว่าการซื้อและขายกระจุกตัวในกลุ่มบุคคลเดิมประมาณ 40% และ 24% ของมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งมีส่วนทำให้ราคาเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 7.15 บาท
สื่อหุ้นบางสำนัก ได้วิพากษ์วิจารณ์หุ้น TPL ซึ่งเป็นศูนย์รวมของบรรดานักลงทุนขาใหญ่ในตลาดหุ้น โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ฯ และนำเสนอข่าวในเชิงเตือนนักลงทุนให้ระวัง ปรากฏว่า สื่อหุ้นสำนักนี้ถูกคุกคาม
ทั้งการส่งคำขู่พร้อมกระสุนปืนไปที่สำนักงานสื่อและการส่งคนปาระเบิดบ้านบรรณาธิการบริหาร โดยไม่อาจสรุปว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว TPL หรือไม่
ผลประกอบการ TPL ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไร แต่เข้าตลาดหุ้นเพียงปีแรก ผลประกอบการก็ขาดทุน โดยปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 3.15 ล้านบาท แต่ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 3.02 ล้านบาท
ส่วนราคาหุ้น นับจากเข้าซื้อขายวันแรกทรุดลงต่อเนื่อง จนล่าสุดวันที่ 18 มีนาคมปิดที่ 55 สตางค์ นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นไว้และยังไม่ขาย รวมทั้งนักลงทุนที่เข้าไปเก็งกำไร บาดเจ็บสาหัสกันถ้วนหน้า
การซื้อทรัพย์สิน โดยจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าเป็นเงินก้อนโต เป็นช่องทางหนึ่ง ในการไซฟ่อน ผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัทจดทะเบียนฯ ซึ่งบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่ม ก่อธุรกรรมในลักษณะนี้อย่างซ้ำซาก
การที่ TPL จ่ายค่ามัดจำซื้อที่ดินและมีปัญหาการเรียกค่ามัดจำคืน จึงอยู่ในข่ายธุรกรรมที่ต้องสงสัยความไม่โปร่งใส
ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน2,489 รายที่ติดค้างอยู่บนยอดดอย คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจที่หลวมตัวเข้ามาเล่นกับบรรดาขาใหญ่ใน TPL