การประกาศจุดยืนหนุนบิตคอยน์สุดตัวของทรัมป์เมื่อเร็วๆ นี้ จุดชนวนการถกเถียงเกี่ยวกับไอเดียการจัดให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ของอเมริกา อดีตประธานาธิบดีที่ลงศึกเลือกตั้งชิงทำเนียบขาวสมัยสองผู้นี้ยังเตือนว่า การขัดขวางการเติบโตของ BTC รังแต่จะเป็นประโยชน์กับจีนและรัสเซีย
จากที่เคยย้ำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ไม่ชอบคริปโตและมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์หลอกลวง แต่ระยะหลังมานี้ดูเหมือนโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนความคิดโดยสิ้นเชิง กรณีล่าสุดที่ชัดเจนอย่างยิ่งคือการประกาศผ่านแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลของตนเองเมื่อเดือนที่แล้วว่า “บิตคอยน์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดต้องผลิตในอเมริกา!”
ในโพสต์ดังกล่าว ทรัมป์ซึ่งเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ยังยอมรับความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของคริปโตที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกสกุลนี้ และเตือนว่า นโยบายที่มุ่งสกัดบิตคอยน์รังแต่จะเป็นประโยชน์กับจีนและรัสเซีย
การประกาศของทรัมป์ไม่เพียงทำให้เขาเป็นแคนดิเดตจากพรรคใหญ่คนแรกที่โปรบิตคอยน์เท่านั้น แต่ยังจุดชนวนการถกเถียงเกี่ยวกับไอเดียการจัดให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์
ผู้นำทางการเมืองและอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นมิตรต่อบิตคอยน์สนับสนุนมานานแล้วให้พิจารณา BTC เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ ตัวอย่างเช่น วิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ให้คำแนะนำทรัมป์เกี่ยวกับบิตคอยน์และสินทรัพย์ดิจิตัลอื่นๆ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ตามรายงานของนิตยสารฟอร์บส์ รามาสวามีเสนอให้หนุนดอลลาร์ด้วยตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึง BTC
โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ ผู้สมัครอิสระในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นอีกคนที่เสนอให้หนุนพันธบัตรคลังส่วนเล็กๆ ด้วยสกุลเงินแข็งคือ ทองคำ เงิน แพลตินัม หรือบิตคอยน์ โดยข้อเสนอของเคนเนดี้และรามาสวามีมีจุดประสงค์เดียวกันคือควบคุมเงินเฟ้อด้วยการผูกดอลลาร์กับสินทรัพย์ที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาวเนื่องจากซัปพลายลดลงซึ่งหมายถึงบิตคอยน์
ขณะที่วุฒิสมาชิก ซินเธีย ลัมมิส หรือ “คริปโตควีน” แห่งคองเกรสส์ แนะให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กระจายความเสี่ยงในการถือครองสกุลเงินต่างชาติด้วยการเพิ่ม BTC ในงบดุล เนื่องจากเชื่อว่า บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้อย่างดีเยี่ยม และเล็งเห็นประโยชน์ที่ประเทศจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
กระนั้น การถกเถียงเรื่องบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์นำไปสู่คำถามว่า อเมริกาจะใช้ประโยชน์จากชุมชนดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างสถานะทางการเงินและภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อเล็กซ์ ธอร์น หัวหน้าฝ่ายวิจัยของแกแล็กซี ดิจิทัล อธิบายผ่านฟอร์บส์ว่า การกระจายศูนย์และคุณสมบัติที่เข้มแข็งอื่นๆ ทำให้บิตคอยน์เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในด้านการค้าระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์
ธอร์นย้ำว่า ชั้นสื่อสารควบคุมเครือข่ายของบิตคอยน์ที่สามารถขยายครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้เงินดิจิทัลสกุลนี้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีค่า
อนึ่ง แม้ยังขาดยุทธศาสตร์บิตคอยน์ที่สอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ปัจจุบันอเมริกาได้ชื่อว่า เป็นผู้นำแห่งยุคตื่นทองคำดิจิทัล รวมทั้งยังเป็นประเทศที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุด และถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน อเมริกาจะมีประธานาธิบดีคนแรกที่โปรบิตคอยน์
นอกจากนั้น ถ้าอเมริกาจัดให้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์จริง จะกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ แข่งขันกันครอบครองคริปโตสกุลนี้ และเร่งรัดการยอมรับ BTC ทั่วโลกในฐานะเครื่องมือออมเงินระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ยังมีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญบางคน อาทิ แมทธิว ไพนส์ นักวิชาการด้านความมั่นคงแห่งชาติของสถาบันนโยบายบิตคอยน์ ที่ตั้งข้อสังเกตว่า กลยุทธ์นี้อาจเผชิญความท้าทายสำคัญหลายอย่างซึ่งรวมถึงอุปสรรคด้านกฎระเบียบ นำมาซึ่งความไม่แน่นอนมากขึ้นในตลาดพันธบัตรคลังสหรัฐฯ และการต่อต้านทางการเมืองที่อาจบ่อนทำลายความยั่งยืน