ตลาดหุ้นเด้งขึ้นอย่างพลิกความคาดหมาย ในการซื้อขายเมื่อวันพุธที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาไล่ซื้อหุ้น ผลักดันให้ดัชนีพุ่งทะยาน 11.29 จุด และเป็นโอกาสที่นักลงทุนรายย่อยขายทำกำไรระยะสั้นอีกครั้ง
ก่อนหน้าต่างชาติขายหุ้นหนักๆ หลายวันต่อเนื่อง จนคาดกันว่าหุ้นจะถอยรับไปสู่แนวรับที่ระดับ 1,350 จุด โดยปิดการซื้อขายเมื่อวันอังคาร หุ้นถอยลงมาปิดที่ 1,359 จุด และมีแนวโน้มที่จะไหลลงต่อ จนนักลงทุนทำใจกันแล้วว่ารอบนี้หุ้นคงลงไปที่ 1,350 จุดแน่
แต่ต่างชาติกลับมาเป็นอัศวินม้าขาว ไล่ซื้อหุ้นรวม 1,842 ล้านบาท ขับเคลื่อนดัชนีให้ฟื้นตัวขึ้นมาปิดที่ 1,370.55 จุด หนีห่างจากแนวรับ 1,350 จุด
รอบ 2 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติกลายเป็นตัวชี้นำตลาดหุ้น ถ้าขายดัชนีจะปักหัวลง แต่ถ้ากลับมาซื้อหุ้นจะเชิดหัวขึ้น เพียงแต่ไม่อาจคาดหมายหรือประเมินได้ว่าเมื่อไหร่ต่างชาติจะซื้อหรือขาย และเมื่อกลับมาซื้อแล้วจะซื้อต่อเนื่องยาวนานหรือไม่
ปีนี้ต่างชาติขายสลับซื้อ หรือซื้อสลับขายมาตลอด บางช่วงซื้อติดต่อถึง 3-4 วันทำการ ลากดัชนีขึ้นจนทะลุ 1,400 จุด จนนักลงทุนในประเทศฝันหวานไปว่าต่างชาติคงกลับมาจริง ไล่ช้อนซื้อหุ้นใหญ่ และพลิกให้ตลาดหุ้นกลับสู่ช่วงขึ้นเต็มตัว
แต่เพียงไม่กี่วันที่นักลงทุนในประเทศมีชีวิตชีวาและมีความหวังกับตลาดหุ้นมากขึ้น ต่างชาติก็ปรับกลยุทธ์เทขายหุ้นอีก จนดัชนีต้องปรับฐานลงมาตั้งหลักใหม่
นักลงทุนควรจะต้องปรับกลยุทธ์รับมือนักลงทุนต่างชาติใหม่ โดยไม่มองโลกดีเกินไป เมื่อเห็นตัวเลขต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น แต่จะต้องชิงโอกาสในช่วงที่หุ้นขึ้น เทขายหุ้นทำกำไร โยนหุ้นใส่มือฝรั่งโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก และไม่ต้องกลัวว่าจะขายหมู
เพราะในระยะสั้นไม่มีสัญญาณว่าหุ้นเกิดกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นในรอบใหญ่ๆ แต่อาจะขึ้นได้แค่รอบสั้นๆ ขี้นเพียงไม่กี่วัน และกลับสู่ความซบเซา หรือภาวะซึมลงเหมือนเดิม
ส่วนในช่วงที่ต่างชาติเทขายไม่ควรรีบร้อนช้อนซื้อหุ้น เพราะเสี่ยงที่จะต้องแบกรับหุ้นต้นทุนสูง เสี่ยงขาดทุน โดยยืนสังเกตการณ์ และรอคอยจังหวะจนมั่นใจว่าหุ้นปรับฐานจนสะเด็ดน้ำแล้ว จึงทยอยเก็บของ ซึ่งจะซื้อหุ้นได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำจริง และความเสี่ยงน้อยลง
ตลาดหุ้นปีนี้อาจไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมามากนัก โดยซึมๆ ทรุดๆ และต้องหาจังหวะเก็งกำไรในช่วงสั้นเท่านั้น ในช่วงที่กระดานหุ้นเขียวๆ ต้องไม่โลภ มีกำไรต้องขาย ถ้าเสียดายหุ้นแบ่งไม้ขายก็ยังดี เพราะถ้าไม่ขาย อาจเสียโอกาสกำไรหลุดลอยไป
สำหรับนักลงทุนระยะยาวไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้ากระดานเหมือนนักเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งต้องปรับกลยุทธ์วันต่อวัน ต้องเกาะติดหน้าจอ เพื่อประเมินความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น โดยนักลงทุนระยะยาวสามารถรอคอยจังหวะและโอกาสได้ ไม่ต้องเร่งรีบตัดสินในใจ จนกว่าหุ้นจะลงมาถึงราคาที่พอใจ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยเริ่มปรับกลยุทธ์ได้ถูกทางแล้ว โดยเฉพาะจังหวะการชิงขายทำกำไรระยะสั้น เพราะเมื่อต่างชาติกลับมาซื้อ และลากหุ้นพุ่งทะยาน นักลงทุนรายย่อยจะเทขายหุ้นโยนใส่มือต่างชาติทันที
เพียงแต่จังหวะการเข้าซื้อหุ้นยังหละหลวมและรีบร้อนมากไปหน่อย กระดานหุ้นแดงเมื่อไหร่รายย่อยอดใจไม่ไหว ต้องวิ่งเข้าใส่ไบ่ช้อนหุ้นตลอด และมักรับบทบาทผู้ซื้อรายใหญ่ในวันที่หุ้นตก จนสะสมหุ้นแพงๆ ไว้เต็มพอร์ต
บนสถานการณ์ตลาดหุ้นที่มีความไม่แน่นอน พร้อมจะผันผวนได้ตลอดเวลา และไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวรอบใหญ่ หุ้นเขียวเมื่อไหร่อย่าคิดเยอะ
หุ้นในมือที่มีกำไรต้องชิงขายออกไปก่อน ส่วนหุ้นที่ติดดอย หุ้นที่ขาดทุน ยังทำใจตัดขายไม่ได้กัดฟันทนถือต่อไปจนกว่าโอกาสดีๆ จะมาถึง แม้อาจต้องรอคอยยาวนานหน่อยก็ตาม