นักลงทุนต่างชาติยังดำรงบทบาทสำคัญ ในการชี้นำทิศทางตลาดหุ้น เพราะดัชนีจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามแรงซื้อแรงขายของต่างชาติ และหากปีนี้ต่างชาติยังไม่กลับมา ตลาดหุ้นอาจทรุดตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
ต่างชาติเทขายหุ้นมาหลายปี และเพิ่งกลับมาซื้อในปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 1.98 แสนล้านบาท แต่ผลักดันให้หุ้นปรับตัวขึ้นเล็กน้อย เพราะเกิดปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน ตามด้วยปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก จนธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องขึ้นดอกเบี้ย กระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ปี 2566 ต่างชาติเทขายหุ้นตลอดทั้งปี ยอดขายหุ้นทั้งสิ้น 1.69 แสนล้านบาท และทำให้ดัชนีหุ้นดิ่งลง 252 จุด หรือ 15% และเป็นตลาดหุ้นที่ตกต่ำมากที่สุด รองจากตลาดหุ้นจีน
ปีนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่คาดหวังว่าต่างชาติจะกลับมา และเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ดัชนีปลายปีขยับขึ้นไปที่ระดับ 1,550 จุด ตามที่ประมาณการไว้
แต่สิ่งที่โบรกเกอร์คาดหวังไว้ยังไม่เกิดขึ้นจริง เพราะต่างชาติเทขายหุ้นไม่เลิก โดยเดือนมกราคมขายหุ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาท ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ช่วง 4 วันทำการแรก ต่างชาติกลับมาไล่ซื้อหุ้นรวมกว่า 7,951 ล้านบาท ผลักดันดัชนีพุ่งทะลุแนวต้าน 1,400 จุดขึ้นมาได้
การกลับมาของต่างชาติปลุกบรรยากาศการซื้อขายให้คึกคัก และนักลงทุนในประเทศเริ่มมีความหวัง มองแนวโน้มตลาดสดใส แต่ต่างชาติก็ดับความหวังนักลงทุนอีก โดยกลับมาถล่มขายหุ้นติดต่อ จนยอดซื้อขายต่างชาติสิ้นสุดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ กลายเป็นยอดขายสะสม 192.81 ล้านบาท
เมื่อรวมยอดขายสะสมจากต้นปี ต่างชาติขายหุ้นแล้ว 31,066.92 ล้านบาท และฉุดให้ดัชนีลดลง 29.65 จุด จากจุดปิดสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 1,415.85 จุด ลงมาปิดล่าสุดที่ 1,386.27 จุด
แม้จะมีความคาดหมายว่าตลาดหุ้นปีนี้จะกระเตื้องขึ้น เพราะมีปัจจัยหนุนจากนโยบายบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน การท่องเที่ยวที่คึกคัก และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ทุกปัจจัยหนุนมีความสำคัญน้อยกว่าการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ
เพราะถ้าไม่มีแรงซื้อต่างชาติเข้ามาหนุน โอกาสที่ตลาดหุ้นคืนสู่ความคึกคักแทบไม่มี เพราะแรงซื้อนักลงทุนในประเทศอ่อนล้าเต็มที กองทุนในประเทศอาจเข้ามาซื้อหุ้นเป็นบางช่วงเท่านั้น พอร์ตโบรกเกอร์ก็เป็นเพียงตัวประกอบ ซื้อๆ ขายๆ จำนวนไม่มาก
ส่วนนักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่มาหลายปี ไม่รู้ว่าจะมีแรงซื้อได้ต่อไปขนาดไหน เพราะ 6 ปีที่ผ่านมา ซื้อหุ้นสะสมไปแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท และขาดทุนหนักกันถ้วนหน้า
ดัชนีหุ้นปลายปีจะวิ่งไปถึง 1,550 จุด ตามที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประมาณการไว้ได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาหนุน แต่ทำอย่างไรนักลงทุนต่างชาติจะกลับมามีมุมมองที่ดีกับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย
ปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นปัจจุบันไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติแต่อย่างใด เพราะค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 17.43 เท่า ซึ่งถือว่าสูง ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.29% และเป็นอัตราที่ดี
แต่ความกังวลว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะชะลอตัวลง จึงทำให้ต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย โดยการเทขายหุ้นออกติดต่อกันเป็นปีที่ 2 และถ้าเทขายไม่เลิกเหมือนช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ไม่แน่ว่า ปีนี้ยอดขายหุ้นของต่างชาติอาจใกล้เคียงหรือมากกว่าปีก่อน
โจทย์ใหญ่คือ จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างไร จะสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และไม่ใช่บทบาทชองตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น แต่จะต้องขยับตัวทำงานกันทั้งองคาพยพ รวมถึงรัฐบาลบาลด้วย
การประกาศปาวๆ เพื่อเรียกร้องความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยไม่มีมาตรการที่ดีและไม่ได้ปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จ้างให้ฝรั่งก็ไม่กลับมา
ฝรั่งจะกลับมาไล่ซื้อหุ้นเมื่อเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสดใส ลงทุนแล้วมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คุ้ม แต่ถ้าประเมินแล้วว่า การลงทุนมีความเสี่ยง หุ้นไทยมีแนวโน้มดิ่งลงต่อ จะระบายหุ้นออก และเทขายกว่า 2 แสนล้านบาทแล้ว นับจากปี 2566
นักลงทุนต่างชาติเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายตลาดหุ้นมาหลายปีแล้ว ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าหยุดการเทขายของต่างชาติไม่ได้ สร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติขนเงินกลับมาไล่ซื้อหุ้นไม่ได้
ตลาดหุ้นจะมีสภาพตายซาก ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยที่ช้อนหุ้นไม่เลิก สู้ไม่ถอย ต้องเผื่อใจไว้ด้วย