บรรยากาศการซื้อขายหุ้นวันจันทร์ที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง โดยระหว่างชั่วโมงซื้อขาย ดัชนีพุ่งถึง 11 จุด ก่อนอ่อนตัวลงปิดที่ 1,367.28 จุด เพิ่มขึ้น 8.13 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง 39,302 ล้านบาท
ไม่มีข่าวดีที่เป็นรูปธรรมเข้ามากระตุ้นการลงทุนมากนัก ไม่มีนักลงทุนกลุ่มไหนโหมแรงซื้อเข้ามา และตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ได้สดใสจนเป็นปัจจัยกระตุ้น
เพียงแต่มีสิ่งละอันพันละน้อยในเชิงบวกที่ช่วยผลักดันให้หุ้นโงหัวขึ้น หลังจากซบเซามานาน และมีแนวโน้มที่จะทรุดลงต่อเนื่อง
มูลค่าซื้อขายที่หลุดต่ำกว่า 40,000 ล้านบาทนั้น เนื่องจากนักลงทุน 4 กลุ่ม ทั้งนักลงทุนสถาบัน พอร์ตโบรกเกอร์ ต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยชะลอการซื้อขาย
เพราะไม่มีมั่นใจในทิศทางการลงทุน จึงพักรบชั่วคราว ยืนคุมเชิงรอดูสถานการณ์ มูลค่าซื้อขายจึงลดลงทุกกลุ่ม และส่วนต่างระหว่างมูลค่าซื้อและขายแต่ละกลุ่มมีน้อยมาก ยอดซื้อและขายหุ้นสุทธิมีเพียงระดับ 100 ล้านบาทเท่านั้น
นักลงทุนแต่ละกลุ่มรอประเมินทิศทางตลาดหุ้นที่ชัดเจน แต่มีหุ้นตัวใหญ่ในหลายกลุ่มขยับขึ้นมา และเป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีให้วิ่งเกือบ 10 จุด โดยเฉพาะหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT หุ้น ธนาคารกรุงเทพ (มหาชน) หรือ BBL และหุ้นกลุ่มน้ำมัน
หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนโยบายเปิดฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดย 3 สัปดาห์แรกปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้วทะลุ 2 ล้านคน
และการท่องท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายว่า ปีนี้จะมีนักลงทุนเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยระหว่าง 30-35 ล้านคน โดยกลุ่มเป้าหมายใหญ่ยังเป็นนักท่องเที่ยวจากจีน
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวหลายบริษัทเริ่มขยับขึ้นคึกคัก เช่น AOT หรือหุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
สิ่งละอันพันละน้อยในเชิงบวกอีกประเด็นที่ช่วยให้การซื้อขายหุ้นวันจันทร์ที่ผ่านมามีชีวิตชีวาขึ้นคือ การกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ
นับจากต้นปี ต่างชาติซื้อหุ้นเพียงไม่กี่วัน และซื้อในช่วงต้นปี หลังจากนั้นเทขายหุ้นมาตลอด จนยอดขายหุ้นสะสมจนสิ้นสุดวันที่ 26 มกราคมมีจำนวนทั้งสิ้น 28,676.71 ล้านบาท
แต่เมื่อวันจันทร์ต่างชาติยุติการเทขาย ซึ่งจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือไม่ต้องติดตามกันต่อ
การหยุดขาย และกลับมาซื้อหุ้นของต่างชาติ แม้จะซื้อเพียง 160 ล้านบาท มีผลทำให้ตลาดพลิกฟื้นได้เหมือนกัน เพราะถ้าขายต่อ ท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนในประเทศที่อ่อนระทวย หุ้นก็มีสิทธิถอยหลังลงต่อ
สัปดาห์ที่ 5 ของปี 2567 หรือสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคมกำลังปิดฉากลง โดยภาพรวมตลาดหุ้นตลอดทั้งเดือนถือว่าซบเซาและทรุดลง เพียงแต่ช่วงวันสองวันสุดท้ายของเดือนนี้ นักลงทุนหวังว่า บรรยากาศซื้อขายจะกระเตื้องขึ้นมาบ้างเท่านั้น
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หุ้นเดินหน้าต่อมีเพียงประการเดียว ต่างชาติต้องหยุดขาย และทยอยกลับมาซื้อหุ้น เช่นเดียวกับการกลับมาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นความหวังที่อาจเลื่อนลอยสักหน่อยก็ตาม
เพราะต่างชาติยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ ที่จะกลับมาตลาดหุ้นไทยในระยะเวลาอันใกล้
ถ้าต่างชาติไม่กลับ ตลาดหุ้นไทยปีนี้คงแห้งเหี่ยวหัวโต หมดความสดใส เพราะนักลงทุนในประเทศหมดแรงซื้อแล้ว
แต่วันที่ 31 มกราคมนี้ ต้องเฝ้าจับตาคดีการหาเสียงล้มมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 31 มกราคมนี้ เพราะจะส่งผลบวกผลลบต่อตลาดหุ้นโดยตรง เช่นเดียวกับคดีถือหุ้น ITV ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่กระตุ้นหุ้นพุ่งถึง 24 จุด
ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ไม่ได้เปลี่ยนมากนัก โดยถูกประเมินว่ายังซบเซาอยู่ และกระเตื้องขึ้นจากปีก่อนไม่มาก
แต่ในระยะสั้นอาจขยับปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ จากข่าวดีสิ่งละอันพันละน้อย จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว การกลับมาของต่างชาติ และจบท้ายด้วยคดี ม.112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่รู้จะออกมาหน้าไหน
ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ถูกยุบ อาจเป็นข่าวในเชิงบวก ปลุกให้ตลาดหุ้นคึกคักก็เป็นได้ จึงต้องรอลุ้นปัจจัยชี้นำสำคัญส่งท้ายเดือนมกราคมกันว่าจะออกมาดีหรือร้าย หุ้นจะไปต่ออีกสักหน่อยได้หรือไม่