หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เคาะกันสนั่นหวั่นไหวมาหลายวันแล้ว โดยเฉพาะหลังการประกาศยกเลิกวีซ่าถาวรระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567
การยกเลิกวีซ่าระหว่างไทย-จีน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของ AOT พุ่งขึ้นตาม
นักลงทุนจึงแห่กลับมาลุยช้อนซื้อหุ้น AOT ดักเก็งกำไรผลประกอบการปีนี้ที่จะฟื้นตัวขึ้น
หุ้น AOT เฉาอยู่พักใหญ่ ราคาเคยลงไปต่ำสุดที่ 58 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีน จนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยไม่เติบโตตามที่คาดหมาย
ถ้านักท่องเที่ยวจีนลดน้อยลง จะมีผลต่อรายได้ของ AOT ซึ่งเพิ่งเริ่มกลับมามีผลกำไร หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด จนขาดทุนหนักติดต่อ 2 ปี โดยปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 16,322.01 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุน 11,087.87 ล้านบาท
แต่ปี 2566 ซึ่งปิดงวดบัญชีเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา พลิกมีกำไรสุทธิ 8,790.87 ล้านบาท
รายได้หลักของ AOT ผูกโยงกับการท่องเที่ยว และลูกค้ารายใหญ่ของประเทศคือนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยสร้างสถิติเดินทางเข้ามาประเทศไทยเกือบ 11 ล้านคน หรือมากกว่า 25% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อปี 2562 แต่หลังจากนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง เนื่องจากวิกฤตโควิด
ปี 2566 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาไทยประมาณ 4 ล้านคน แต่พลาดเป้า เพราะนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยประมาณ 3.5 ล้านคน
ส่วนปีนี้ ททท. ตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน และมีเรื่องของฟรีวีซ่าเข้ามาสนับสนุน
ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมีผลต่อราคาหุ้น AOT โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าเป้าหมายในปี 2566 ฉุดให้ราคาหุ้น AOT ซึมมาพักใหญ่ เพียงแต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่แนะนำให้ช้อนซื้อหุ้น เมื่อราคาหลุดต่ำกว่า 60 บาท
เพราะเชื่อว่าอนาคตของหุ้นตัวนี้ยังสดใส นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งนักท่องเที่ยวจีน
ราคาหุ้น AOT เริ่มฟื้นแล้ว โดยปิดล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 3 มกราคมที่ผ่านมาที่ 62.50 บาท เพิ่มขึ้น 25 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 2,537.30 บาท
บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 15 แห่ง ส่วนใหญ่แนะนำให้ซื้อ AOT โดยกำหนดราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 77.81 บาท บางโบรกเกอร์ตั้งราคาเป้าหมายไว้ที่ 85 บาท แต่บางโบรกเกอร์กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 72 บาท
แต่ราคาหุ้นบนกระดานยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่ทุกโบรกเกอร์กำหนดไว้
หลังเกิดวิกฤตโควิด จนผลประกอบการตกต่ำ AOT สูญเสียมวลชนหรือผู้ถือหุ้นรายย่อยไปจำนวนมาก จากปิดสมุดทะเบียนวันที่ 9 ธันวาคม 2564 มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 107,484 ราย แต่ปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 13 ธันวาคม 2565 จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยเหลือเพียง 78,988 ราย ลดหายไปเกือบ 4 หมื่นราย
นักลงทุนรายย่อยส่วนหนึ่งคงทนรอคอยหรือทนถือยาวไม่ไหว ไม่แน่ใจว่า AOT จะฟื้นเมื่อใด จึงตัดสินใจขายหุ้นออก เพียงแต่นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศอาจจะถือหุ้นไว้อย่างเหนียวแน่เท่านั้น
AOT กลับมาแล้ว ติดทำเนียบหุ้นยอดนิยมอีกครั้ง การซื้อขายคึกคักขึ้น แต่ราคาจะฟื้นได้ขนาดไหนต้องรอประเมินการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีนเป็นปัจจัยชี้นำ
