xs
xsm
sm
md
lg

เกาหลีใต้-จีนห้าม SHORT SELL...ไทยดูหุ้นตกต่อไป / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การประกาศห้ามทำ SHORT SELL ของโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ตลาดหุ้นสาธารณรัฐประชาชนจีน ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางและรวดเร็วในหมู่นักลงทุน พร้อมคำถาม ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำอะไรอยู่ ไม่คิดจะแก้ปัญหา SHORT SELL บ้างหรือ

บริษัทซิติก ซิเคียวริตีส์ (Citic Securities) เป็นบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่ที่สุดของจีนและเป็นของรัฐบาลจีน ประกาศระงับการทำ Short Selling หรือการยืมหุ้นมาขายสำหรับลูกค้าบางราย หลังจากตลาดหุ้นจีนร่วงลงอย่างต่อเนื่อง

การทำ Short Selling ในทิศทางหุ้นขาลง เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับความนิยมในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง แต่ บริษัท ซิติก ซิเคียวริตีส์ ได้ระงับการให้ยืมหุ้นแก่นักลงทุนรายย่อยแล้ว และได้เพิ่มข้อกำหนดสำหรับลูกค้าที่เป็นนักลงทุนสถาบัน หลังได้รับคำแนะนำจากหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นของรัฐบาลจีน

การห้าม SHORT SELL ของโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่เป็นการส่งสัญญาณว่า จีนมีเป้าหมายเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน และกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขายหุ้น โดยก่อนหน้า หน่วยงานของรัฐบาลจีนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร แต่ไม่อาจปลุกตลาดหุ้นจีนให้กลับมาคึกคักได้

เกาหลีใต้นำร่องประกาศห้าม SHORT SELL จนถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ ส่งผลให้หุ้นดีดตัวขึ้น จึงประกาศขยายเวลาห้าม SHORT SELL เพิ่มจนถึงปีหน้า

และหน่วยงานกำกำกับทางการเงินของเกาหลีใต้ ยังตรวจพบบริษัทวาณิชธนกิจชื่อดังของโลก 2 ราย ทำ NAKED SHORT หรือการขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือ

ขณะที่สหรัฐฯ ประกาศให้เฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนเก็งกำไรระยะสั้นต้อรายงานการทำ SHORT SELL ในทันที

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระงับการทำ SHORT SELL และยกเลิกโปรแกรมการซื้อขายหรือ ROBOT TRADING ตั้งแต่ปลายปี 2566 เพื่อปิดช่องทางการทำ NAKED SHORT หรือการขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือ

เพราะเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังทำ NAKED SHORT อยู่ เพียงแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบไม่พบ

นอกจากนั้น ROBOT TRADING ยังเป็นระบบซื้อขายที่เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย สร้างความเสียหายให้นักลงทุนรายย่อยมาแล้วประมาณ 6 ปี และยังเป็นต้นตอทำให้หุ้นตกอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ลดฮวบลง จากเฉลี่ยวันละ 9.4 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เหลือเพียงวันละ 3-4 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน

ดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาตลอด 6 ปี จากจุดปิดสิ้นปี 2560 ที่ระดับ 1,751.71จุด และขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 1,850 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 หลังจากนั้นทรุดลง จนล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 มกราคมที่ผ่านมาปิดที่ 1,382.51 จุด เมื่อเทียบจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2561 ดัชนีปรับฐานลงประมาณ 470 จุด

นักลงทุนรายย่อยแบกรับหุ้นต้นทุนสูงที่ต่างชาติเทขายมาตลอด 6 ปี โดยปี 2561 ต่างชาติขาย 287,696 ล้านบาท ปี 2562 ขาย 44,791 ล้านบาท ปี 2563 ขายหุ้น 263,148 ล้านบาท ปี 2564 ขาย 50,553 ล้านบาท ปี 2564 ซื้อ 196,886 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ต่างชาติขายหุ้น 169,461 ล้านบาท

รวมการขายหุ้นของต่างชาตินับจากปี 2561 มียอดขายสะสม 584,031 ล้านบาท

ส่วนนักลงทุนรายย่อย ปี 2561 ซื้อหุ้น 120,800 ล้านบาท ปี 2562 ขายหุ้น 21,466 ล้านบาท ปี 2563 ซื้อหุ้น 214,425 ล้านบาท ปี 2564 ซื้อหุ้น 111,430 ล้านบาท ปี 2565 ขายหุ้น 39,033 ล้านบาท และปี 2566 ซื้อสุทธิ 120,860 ล้านบาท

รวมการซื้อหุ้นของนักลงทุนรายย่อยนับจากปี 2561 มียอดซื้อหุ้น 507,015 ล้านบาท

ถ้าเทียบดัชนีสิ้นปี 2560 ที่ปิด 1,753.71 จุด กับจุดปิดเมื่อวันที่ 19 มกราคาปี 2567 ที่ระดับ 1,3852.51 จุด ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ดัชนีลดลง 369.20 จุด

ความซบเซาตกต่ำของตลาดหุ้น และการที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศล้มหายตายจาก โดยบางส่วนหยุดการซื้อขาย เพราะทนขาดทุนต่อไปไม่ไหว แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีมาตรการใดๆ กระตุ้นการลงทุน วางเฉยกับปัญหา ROBOT TRADING และ SHORT SELL แม้นักลงทุนจะลุกฮือเรียกร้องให้เลิก SHORT SELL และ ROBOT TRADING ก็ตาม

การประกาศห้าม SHORT SELL ของโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ในจีน การประกาศห้าม SHORT SELL ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และการให้เฮดจ์ฟันด์รายงานการทำ SHORT SELL ในทันทีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ไม่เป็นเพียงการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน การกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขายหุ้นเท่านั้น แต่ยังป้องกันนักลงทุนรายย่อยของแต่ละประเทศไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ

สำหรับตลาดหุ้นไทยไม่มีมาตรการกระตุ้นการลงทุน ไม่มีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนแต่อย่างใด

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตกอยู่ในสภาพงอมืองอเท้า ไม่ทำอะไรเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ได้แต่นั่งดูหุ้นตก และคงจะนั่งดูหุ้นปี 2567 ตกต่อไป ไม่ตื่นตกใจกับนักลงทุนในประเทศที่ต้องย่อยยับ

การที่จีนประกาศห้าม SHORT SELL อาจส่งแรงกดดันการเปลี่ยนตัวนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เร็วขึ้น

เพราะหากนายภากร ยังอยู่ การเปลี่ยนแปลงใดๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน มาตรการปลุกตลาดหุ้นให้ฟื้นคงไม่เกิดขึ้น

ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปล่อยให้นายภากรอยู่ต่อไปแล้ว








กำลังโหลดความคิดเห็น