นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เดินสายร้องเรียนไม่เลิกรา เพื่อให้ตรวจสอบ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำ NAKED SHORT หรือการขายหุ้น SABUY จำนวนประมาณ 20 ล้านหุ้น โดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือ
ข้อมูลเบาะแสการทำ NAKED SHORT ที่ส่งไปให้ตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการตรวจสอบทันที และภายในเวลาไม่ทันข้ามคืน ตลาดหลักทรัพย์ออกมายืนยันว่า ไม่มีการทำ NAKED SHORT โดยผู้ขายหุ้น SABUY มีหุ้นอยู่ในมือจำนวนมากกว่าจำนวนที่ขาย
และเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ได้รับแจ้งจากบริษัท SABUY ถึงการมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นที่สอดคล้องกับการขายหุ้น
การตรวจสอบข้อร้องเรียนการทำ NAKED SHORT หุ้น SABUY ควรเป็นข้อยุติ เพราะต้องเชื่อระบบตรวจสอบ และเชื่อในความตรงไปตรงมาของตลาดหลักทรัพย์
แต่ผู้บริหาร SABUY ไม่ยอมรับผลการตรวจสอบ เพราะมั่นใจในหลักฐานที่มีอยู่ในมือ และเดินหน้าต่อ เข้าพบกับนายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ประธานคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นข้อเรียกร้องให้สอบสวนคดี NAKED SHORT หุ้น SABUY จำนวน 20 ล้านหุ้นที่ฝากไว้กับคัสโตเดียนหรือผู้ดูแลรับฝากทรัพย์สิน
หุ้น SABUY ถูกมือดีลอบโจมตี โดยทำ NAKED SHORT จริงหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะสอบสวนอีกครั้ง และไม่อาจคาดเดาได้ว่า ผลการสอบสวนจะออกมาแตกต่างจากผลการตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
แต่ถ้าการสอบสวนของดีเอสไอ ถ้าพบการทำ NAKED SHORT จริง จะส่งผลต่อชะตากรรมของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ทันที
NAKED SHORT ถือเป็นอาชญากรรมในตลาดหุ้น ผิดกฎหมาย เล่นโกงนักลงทุนทั่วไป ซึ่งเกิดขึ้นจากโปรแกรมเทรด หรือ ROBOT TRADING โดยตลาดหลักทรัพย์เคยตรวจพบและสั่งปรับโบรกเกอร์หลายรายที่ปล่อยให้ลูกค้าต่างประเทศที่ใช้ ROBOT สั่งขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือ
เพียงแต่ว่า ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ย้ำตลอดมาว่า ไม่มีการทำ NAKED SHORT อีกแล้ว จนกระทั่งผู้บริหาร SABUY ออกมาเปิดโปง และปลุกกระแสยกเลิก ROBOT อีกครั้ง
รัฐบาลส่งสัญญาณชัดเจน ไม่ต้องการให้ ROBOT อยู่ต่อไปในตลาดหุ้นไทย โดยสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ศึกษาทบทวนข้อดีข้อเสียของ ROBOT เพื่อพิจารณายกเลิกตามข้อเรียกร้องของประชาชนผู้ลงทุนในตลาดหุ้น
เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนทุกกลุ่ม เพราะ ROBOT มีความได้เปรียบนักลงทุนรายย่อยแทบทุกประตู
นายภากร ปิตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯยืนกรานมาตลอด ประกาศด้วยท่าทีแข็งกร้าว ไม่ยอมยกเลิก ROBOT โดยระบุว่า ไม่ใช่ตัวการทำให้หุ้นตก
และ ROBOT ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพคล่อง มีมูลค่าซื้อขายสูงขึ้น ซึ่งหมายถึงตลาดหลักทรัพย์จะมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วน ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต.คนใหม่ ก็กลายเป็นลูกคู่ของนายภากร เห็นดีเห็นงามที่จะปล่อยให้ ROBOT อยู่ต่อไป
นักลงทุนมองว่า ROBOT มหาโจรร้ายในตลาดหุ้น และสร้างความเสียหายให้นักลงทุนรายย่อยมาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพราะมีความได้เปรียบในการส่งคำสั่งซื้อขายได้รวดเร็ว มีทุนที่เหนือกว่า มีต้นทุนค่านายหน้าซื้อขายหุ้นที่ต่ำกว่ามาก และบางโอกาสก็เล่นโกง โดยการทำ NAKED SHORT
นักลงทุนจำนวน 100 คน ถ้าถามว่า ควรปล่อยให้ ROBOT เข้ามาโจมตีตลาดหุ้นไทย โกยเงินขนกลับบ้านต่อไปหรือไม่ คงมีไม่เกิน 5 คนที่ต้องการให้ ROBOT อยู่ต่อ
นักลงทุนถือเป็นเจ้าภาพรายใหญ่ในตลาดหุ้น เป็นเจ้าของตลาดหุ้นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่มีนักลงทุน ตลาดหุ้นจะอยู่ไม่ได้ แตกต่างจากผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตัวบุคคลเปลี่ยนแปลงไปตามวาระ
นายภากรภายในปีหน้าก็ต้องพ้นจากตลาดหลักทรัพย์ แต่ช่วงเวลาที่เหลือ นายภากรคงชูธง ค้านการยกเลิก ROBOT ชนิดหัวชนฝา
เพียงแต่จะชนกับนายกิตติ รัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายเศรษฐา ทวีสิน ชนกับรัฐบาล ซึ่งส่งสัญญาณมาแล้ว ขอให้ไล่ตะเพิด ROBOT พ้นจากตลาดหุ้นไทย
เหตุผลเดียวที่ ROBOT จะอยู่ต่อไปได้คือ นายภากรต้องแสดงข้อมูลให้เห็นว่า ROBOT ไม่ใช่ตัวร้าย และไม่ได้กอบโกยเงินไปมากมายมหาศาล จากการเล่นเอาเปรียบและเล่นโกงนักลงทุนในประเทศ
ประมาณ 5 ปีที่ ROBOT แทรกซึมเข้ามาในตลาดหุ้น ไล่โจมตีนักลงทุนในประเทศ ถ้านายภากรแสดงข้อมูลได้ว่า ROBOT ขาดทุน หรือกำไรเพียงปีละ 5% ถึง 10% เชื่อว่าทุกฝ่ายคงยอมรับความมีอยู่ของ ROBOT ได้
แต่ถ้า 5 ปีที่ผ่านมา ROBOT เข้ามาโกยเงินระดับแสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศเจ๊งระเนระนาด และยังติดหุ้นกันกว่า 5 แสนล้านบาท จนต้องถอดใจหยุดซื้อขาย ทำให้มูลค่าซื้อขายหุ้นทรุดฮวบ ล่าสุดเหลือเพียงวันละ 3 หมื่นล้านบาท
ROBOT TRADING จะต้องถูกไล่ตะเพิดออกไปโดยเร็วที่สุด
รัฐบาลขานรับข้อเรียกร้องของประชาชนผู้ลงทุนแล้ว ส่งสัญญาณล้มเลิก ROBOT ถ้า ROBOT ยังไม่ตาย อาจมีคนต้องตายแทน ROBOT
