ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ยกระดับเป็น Holding เดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) คาดแล้วเสร็จเดือน ก.ย. 67 ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปแตะ 1 แสนล้านบาท ดัน P/ E ให้ได้ 20-25 เท่า
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า STEC ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัท หลังพบว่าจากปัจจุบันธุรกิจใหม่ที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้ ขณะที่ธุรกิจเดิมไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่เคยประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเพราะงานภาครัฐที่มีออกมาไม่ต่อเนื่องและการแข่งขันสูง ทำให้การประมูลงานพลาดเป้าไปมาก ซึ่งปีนี้จากเดิมตั้งเป้างานประมูลจะได้ 4 หมื่นล้านบาท แต่ทำได้เพียง 5-6 พันล้านบาทเท่านั้น
ดังนั้น STEC จึงต้องวางกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) และธุรกิจก่อสร้างเดิมที่มี Backlog แกร่งกว่าแสนล้านบาท รวมถึงผลักดันให้รายได้ประจำ (Recurring income) มีสัดส่วนที่มากขึ้น ยังคงให้ความสำคัญในธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ,ธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน,ธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง, และกลุ่มธุรกิจอื่น ขณะที่สัดส่วนรายได้จะประกอบไปด้วย ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจเดิม 50% คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 40,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจใหม่อีก 50% ซึ่งจะเป็น Recurring income ให้กับบริษัท
สำหรับการปรับโครงสร้างเบื้องต้น ภายในเดือนธ.ค. 66 จะจัดตั้ง บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ STECON Group เป็น Holding company และเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติแผนการปรับโครงสร้างดังกล่าว ก่อนจะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ STEC จากผู้ถือหุ้นเดิมด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่เพื่อแลกกับหุ้นเดิมในอัตรา(Swap ) ที่ 1:1 ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ถือหุ้นเดิมต้องตอบรับคำเสนอซื้ออย่างน้อย 75% จากนั้นจะเพิกถอนหุ้น STEC จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและจดทะเบียนเป็น Holding company แทน รวมทั้งทำการโอนขายหุ้นของบริษัทย่อย, บริษัทร่วม และเงินลงทุนในบริษัทอื่น ไปยังบริษัท Holding ภายในเดือน ส.ค. 2567 คาดว่าการปรับโครงสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 67
นายภาคภูมิกล่าวว่าจากการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ทำให้ STEC ตั้งเป้าภายใน 5-10 ปี (2571-2576) มาร์เก็ตแคปแตะ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่มี 1.4 หมื่นล้านบาท และสัดส่วนรายได้ประกอบด้วยธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจเดิม 50% ที่คาดว่าจะมีรายได้ 40,000 ล้านบาท และจากธุรกิจใหม่อีก 50% ซึ่งเป็น Recurring income ให้กับบริษัท ขณะที่ตั้งเป้าตัวเลขกำไรสุทธิที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจก่อสร้าง 2 พันล้านบาทและกลุ่มธุรกิจใหม่ 2 พันล้านบาท พร้อมผลักดันให้ P/E เพิ่มจากปัจจุบันอยู่ที่ 16 เท่า ให้แตะระดับ 20-25 เท่า
สำหรับปี 67 ตั้งเป้ารายได้จากงานก่อสร้าง 3 หมื่นล้านบาท จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มี 1 แสนล้านบาท รวมถึงตั้งเป้าคว้างานใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์อีก 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งถึง 2 หมื่นล้านบาท รวมถึงมีเงินสดและเงินลงทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท