นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (6 ธ.ค.) ที่ระดับ 35.27 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.28 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.35 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 35.09-35.34 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 35.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน (ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการออกมาดีกว่าคาด แต่ยอดตำแหน่งงานเปิดรับกลับออกมาแย่กว่าคาดไปมาก) อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาผันผวนอ่อนค่าลงบ้างตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินสหรัฐฯ ผันผวน นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับระยะสั้นมีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้างจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึงความผันผวนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทยได้บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และเลือกที่จะทยอยขายสินทรัพย์ในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) อย่างไรก็ดี เรามองว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ โดยเรามองว่า โซน 35.30-35.40 บาทต่อดอลลาร์อาจพอเป็นแนวต้านระยะสั้นได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ และมีโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ขณะเดียวกัน เงินบาทยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ทำให้เงินบาทอาจยังมีโซนแนวรับแถว 35.10-35.15 บาทต่อดอลลาร์ในระยะสั้นนี้
อย่างไรก็ตาม ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจใช้มาประเมินทิศทางของยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้ได้
ส่วนวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ของสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจสามารถสะท้อนแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต๊อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานในช่วงนี้ รวมถึงการปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 (GDPNow) โดย Atlanta Fed
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนตุลาคม เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ ECB