สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ทรุดลงต่อเนื่อง ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายแต่ละวันที่หนาแน่น โดยมีการหยิบยกปัจจัยลบหลายด้านมาเสียบใส่ในหลายประเด็น อ้างเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น
แต่หลังปิดการซื้อขายหุ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทุกคนจึงตาสว่าง เพราะเบื้องหลังการถล่มขายหุ้น AOT ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยอื่นแต่อย่างใด แต่ถูกโจมตีจากโปรแกรมเทรด หรือ ROBOT โดยตรง
AOT ถูกเทขายจนราคาร่วงลงตั้งแต่วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน และลงมาติดต่อ จนวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน ถูกถล่มขายหนัก ระหว่างชั่วโมงซื้อขายราลงไปต่ำสุดที่ 61.50 บาท ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 12 เดือน
ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดที่ 62.25 บาท ลดลง 3.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 11,666.16 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดอันดับหนึ่งประจำวัน
ROBOT พุ่งเป้าโจมตี AOT โดยเป็นผู้ซื้อขายรายใหญ่สุด มีมูลค่าซื้อขาย 4,600.15 ล้านบาท หรือซื้อขายสัดส่วน 40.06% ของมูลค่าซื้อขายหุ้น AOT
ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะรายงานข้อมูลการซื้อขายของ ROBOT มีการวิเคราะห์ผลกระทบของ AOT เข้ามาอย่างหลากราย เช่น ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ฟื้นตัวตามคาด การขยายเวลาลดค่าผู้ประโยชน์ให้ผู้เช่าสนามบิน รวมทั้งคิงส์เพาเวอร์
และแนวโน้มผลประกอบการ AOT อาจไม่เติบโตตามเป้าหมาย ขณะที่เงินปันผลไม่ได้จ่ายมาแล้ว 3 ปี ขณะที่ค่าพี/อี เรโชสูงกว่า 100 เท่า
ความน่าสนใจหุ้นตัวนี้จึงลดลง
ปัจจัยลบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ AOT อาจเปิดช่องให้ ROBOT เข้ามาโจมตี เพราะประเมินแล้วว่าราคาหุ้นมีความเปราะบาง และนักลงทุนไม่พร้อมที่จะช้อนซื้อหุ้นเก็บ จึงเข้ามาลุย AOT จึงถือโอกาสถ่มขายซ้ำเติม ทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นขาลง
ผลประกอบการ AOT ทรุดหนัก 2 ปี จากผลกระทบวิกฤตโควิด โดยปี 2564 ขาดทุน 16,322.01 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุน 11,087.87 ล้านบาท และปี 2566 ซึ่งปิดงบเมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 8,790.87 ล้านบาท
โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่คือกระทรวงการคลัง ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 70% ของทุนจดทะเบียน โดยมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนทั้งสิ้น 78,999 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ถือหุ้น AOT เพื่อการลงทุนระยะยาว
ถ้าดูราคาเป้าหมายหุ้น AOT ที่ฝ่ายวิเคราะห์ทลักทรัพย์ โบรกเกอร์ 15 แห่งประเมินไว้ ทุกแห่งตั้งราคาหุ้นเป้าหมายสูงกว่า อยู่ที่ 92 บาท ราคาเฉลี่ย 15 โบรกเกอร์อยู่ที่ 80.59 บาท และบางโบรกเกอร์ตั้งราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 72 บาท
แม้กระทรวงการคลังจะถือหุ้นใหญ่ 70% ของทุนจดทะเบียน แม้จะมีผู้ถือหุ้นรายย่อยเกือบ 8 หมื่นราย แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคขวากหนาม ในการบุกโจมตีของ ROBOT
AOT เป็นเหยื่อรายล่าสุดของ ROBOT และเป็นหลักฐานตอกย้ำว่า
ROBOT มีความสามารถทุบหุ้นตัวใดให้ร่วงลงแรงได้ แม้แต่หุ้นขนาดใหญ่ มาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงในอันดับต้นๆ ของตลาดหุ้นเช่น AOT ก็ตาม
จึงไม่มีข้อสงสัยใดๆ สำหรับหุ้นตัวเล็กที่ถูก ROBOT เล่นงานจนพังเป็นแถบๆ
อิทธิฤทธิ์ของ ROBOT อาวุธสังหารที่นักลงทุนต่างชาติพกพาเข้ามา เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกับทุกฝ่าย เพราะสามารถทำลายล้าง ทุบหุ้นรายตัวจนดับเดี้ยงได้ในพริบตา จึงเป็นตัวอันตรายสำหรับนักลงทุนในประเทศ
AOT เป็นตัวอย่างที่เห็นกันจะจะคาตา
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยให้ ROBOT อาละวาด เที่ยวไล่โจมตีหุ้นรายตัวจนเกิดความปั่นป่วนทั้งตลาดหุ้นต่อไปอีกหรือ
ไม่คิดจะปลดอาวุธ ROBOT ลดความได้เปรียบนักลงทุนในประเทศบ้างหรือ
ถ้าถูกปลดอาวุธ ไม่ได้เปรียบด้านต้นทุนค่านายหน้า ไม่ได้เปรียบการส่งคำสั่งที่รวดเร็วกว่า และไม่สามารถเล่นขี้โกงโดยทำ NAKED SHORT ได้
ดูซิว่า ROBOT ยังจะเก่งกว่ารายย่อย รายใหญ่ เจ้ามือและเจ้าของหุ้นในประเทศไทยได้อีกหรือไม่
