หุ้นไทยผันผวนแรงเช้าแกว่งลบ ก่อนบ่ายพลิกกลับมายืนบวก ปิดตลาด +3.66 จุด นักวิเคราะห์เผยดัชนีปรับร่วงภาคเช้าสะท้อน GDP ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งกระแสข่าวการหยุดซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการใช้ SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขายและการใช้โปรแกรม หรือ Ai ROBOT TRADE ช่วงบ่ายกลับมายืนในแดนบวกได้หลัง ก.ล.ต. รับคำร้องนักลงทุน กดดัน ตลท. เข้มงวดทั้งเรื่อง Short Sell และ Naked Short Sell มากขึ้น มองกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้ยังแกว่งต่อในแนวระนาบระดับ 1,400 จุด ประเมินแนวรับที่ 1,408 จุด และแนวต้านที่ 1,430 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 20 พ.ย. 2566 ปรับตัว +3.66 จุด หรือ +0.26% โดยปิดตลาดที่ 1,419.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,420.63 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีย่อตัวช่วงการซื้อขายภาคเช้า ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในแดนบวกภาคบ่าย โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,419.86 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,409.55 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 269 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 646 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 162 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -1,405.09 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +865.74 ล้านบาท บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +86.37 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +452.98 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,737.94 ล้านบาท ปิดที่ 34.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
2.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,340.85 ล้านบาท ปิดที่ 56.00 บาท ลดลง 0.75 บาท
3.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,142.05 ล้านบาท ปิดที่ 160.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
4.TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,046.33 ล้านบาท ปิดที่ 51.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
5.BH มูลค่าการซื้อขาย 964.28 ล้านบาท ปิดที่ 225.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่225.00บาท เพิ่มขึ้น 6.00บาทหรือ 2.74%
2.KCE ปิดที่52.00บาท เพิ่มขึ้น 1.75บาทหรือ 3.48%
3.BCP ปิดที่44.25บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาทหรือ 3.51%
4.PTTEP ปิดที่ 160.00บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาทหรือ 0.95%
5.JMART ปิดที่16.60บาท เพิ่มขึ้น 1.40บาทหรือ 9.21%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK ปิดที่131.00บาท ลดลง 2.00 บาทหรือ 1.50%
2.ADVANC ปิดที่ 216.00 บาท ลดลง 2.00 บาทหรือ 0.92%
3.SCC ปิดที่ 289.00 บาท ลดลง 2.00 บาทหรือ 0.69%
4.TQM ปิดที่28.25บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 3.42%
5.EGCO ปิดที่126.50บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 0.78%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,945.23 จุด เพิ่มขึ้น 6.96 จุด หรือ 0.36% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 879.24 จุด เพิ่มขึ้น 2.49 จุด หรือ 0.28% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 400.23 จุด ลดลง -2.21 จุด หรือ -0.55%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในภาพย่อตัวแล้วดีดขึ้น เป็นภาพของการรีบาวด์ โดยช่วงแรกปรับลงจากแรงกดดดันตัวเลข GDP ไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 1.5% ต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะขยายตัว 2.2% แต่สภาพัฒน์มอง GDP ปีนี้ขยายตัวราว 2.5% ก่อนจะเร่งตัวเป็น 3.2% ในปี 67 ยังไม่ได้รวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากต้องรอการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ก็สะท้อนภาพเบื้องต้นว่าปี 67 เศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวได้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวไม่ได้กระทบกับ Sentiment การลงทุนมาก
ในส่วนของสัญญาณค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตลาดหุ้นเริ่มกล้าสู้มากขึ้นกับ Valuation ระดับนี้ รวมทั้งช่วงหลังหน่วยงานภาครัฐ ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มเข้ามาดูแลประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลทั้งเรื่อง Short Sell และ Naked Short Sell มากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นใจการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยกลับมาได้บ้าง
ส่วนแนวโน้มในวันพรุ่งนี้คาดดัชนีแกว่งขึ้นต่อ อยู่ในภาพของการย้ำฐานและยืนเหนือโซน 1,400 จุดได้ โดยนักลงทุนรอติดตามมาตรการเพิ่มเติมจากภาครัฐ อาทิ Thailand ESG Fund ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้น Sentiment การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
ปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินของสหรัฐเป็นหลัก โดยคือวันที่ 21 พ.ย. จะมีการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดครั้งที่แล้ว (FED Minute) และกลางสัปดาห์รายงานตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐ ส่วนปลายสัปดาห์ติดตามการรายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐและยุโรป โดยมองกรอบการลงทุนแนวรับที่ 1,408 จุด และแนวต้าน 1,430 จุด