หุ้นไทยพลิกกลับมาปิด +17.01 จุด โบรกฯ ชี้หุ้นไทยพลิกกลับดีดแรงช่วงเย็นก่อนปิดตลาดรับข่าวบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ย่อตัว สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลัง GDP สหรัฐฯ อาจปรับตัวดีกว่าคาด อาจทำให้เฟดคงดอกเบี้ยสูงนาน แต่เป็นสัญญาณบวกเล็กน้อยให้ตลาดหุ้น ขณะที่ความกังวลสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ยังไม่ขยายวงกว้างออกไปประเทศใกล้เคียง มองกรอบการลงทุนสัปดาห์หน้าแกว่งในกรอบ 1,370-1,400 จุด แต่หากทะลุ 5% อีกมองแนวรับ 1,350 จุด และหากต่ำกว่า 4.8% อาจดัน SET ขึ้นไปที่ 1,430 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 27 ต.ค.2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +17.01 จุด หรือ +1.24% โดยปิดตลาดที่ 1,388.23 จุด มูลค่าซื้อขาย 41,247.37 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งไซด์เวย์ก่อนฟื้นตัวขึ้นในช่วงเย็นก่อนที่จะปิดตลาด โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,390.79 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,366.19 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 329 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 148 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 168 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -2,167.95 ล้านบาท และบัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -377.22 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า +1,328.70 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +1,216.48 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,055.74 ล้านบาท ปิดที่ 55.00 บาท ลดลง 0.25 บาท
2.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,997.53 ล้านบาท ปิดที่ 132.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
3.SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,785.23 ล้านบาท ปิดที่ 100.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท
4.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,600.86 ล้านบาท ปิดที่ 33.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
5.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,418.50 ล้านบาท ปิดที่ 158.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SCC ปิดที่ 293.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท หรือ 2.09%
2.DELTA ปิดที่ 76.25บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท หรือ 5.54%
3.EGCO ปิดที่ 121.00บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ 2.54%
4.KCE ปิดที่ 51.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 5.61%
5.CBG ปิดที่ 67.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 4.26%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 256.00บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.78%
2.MEGA ปิดที่ 41.75 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 3.47%
3.BDMS ปิดที่ 26.25 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.87%
4.THG ปิดที่ 62.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.79%
5.PSL ปิดที่8.60 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 3.37%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,904.44 จุด เพิ่มขึ้น 27.13 จุด หรือ 1.45% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 859.26 จุด เพิ่มขึ้น 12.37 จุด หรือ 1.46% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 399.90 จุด เพิ่มขึ้น 4.12 จุด หรือ 1.04%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดีดกลับขึ้นมาได้ดีขึ้นในช่วงท้ายภาคบ่าย สอดคล้องตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่มีทิศทางบวก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (บอนด์ยิลด์) อายุ 10 ปีย่อลง เนื่องจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ดีกว่าคาด นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สัปดาห์หน้าอาจส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนานกว่าคาด เมื่อบอนด์ยิลด์ย่อลงจึงเป็นสัญญาณบวกให้ตลาดหุ้นได้เล็กน้อย รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อิสราเอลยังไม่โจมตีในภาคพื้นดินที่ฉนวนกาซา จึงทำให้ยังไม่ลุกลาม
"หุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์จากการที่บอนด์ยิลด์ชะลอตัวลง เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า การเงิน รวมทั้งหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาหดตัวลงมากวันนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้รับแรงซื้อกลับ ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกยังไม่ฟื้นมากนัก เนื่องจากนโยบายเงินดิจิทัลยังไม่ชัดเจน"
ส่วนแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าสถานการณ์ตลาดจะขึ้นอยู่ประเด็นความคืบหน้าของสงครามในตะวันออกกลาง และบอนด์ยิลด์ หากบอนด์ยิลด์แกว่งอยู่ในช่วง 4.8-5% คาดว่า SET จะแกว่ง 1,370-1,400 จุด แต่หากทะลุ 5% คาด SET อาจลงไปที่แนวรับ 1,350 จุด และหากต่ำกว่า 4.8% ลงไปอีก SET มีโอกาสขึ้นไปที่ 1,430 จุด แนะนำหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า การเงิน และปิโตรเคมี
"ในประเทศยังไร้ปัจจัยใหม่ แนะติดตามทั้งบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ และในประเทศ แต่บอนด์ยิลด์ของไทยไม่ค่อยแกว่งผันผวนจากที่มีกระแสข่าวการลดขนาดแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้แกว่งเบาลง จึงต้องติดตามความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอีกครั้งในสัปดาห์หน้า" นายศราวุธ กล่าว