xs
xsm
sm
md
lg

SET INDEX ร่วงยับ -30.48 จุด กลับมาตึงเครียดสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดหุ้นไทยกลับมาร่วงหนักปิดตลาด -30.48 จุด นักวิเคราะห์เผยสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็กลับมาตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น กดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น นอกจากนี้การที่นโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล ที่ยังขาดความชัดเจน หลังปรับเงื่อนไขเกณฑ์แจกเงินใหม่ 3 แนวทาง มองกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้มองแนวรับแรกที่ 1,360 จุด และแนวรับถัดไป 1,350 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,385 จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 26 ต.ค. 2566 ปรับตัวลดลง -30.48 จุด หรือ -2.17% โดยปิดตลาดที่ 1,371.22 จุด มูลค่าซื้อขาย 45,690.17 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายในวันนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงไปสู่แดนลบตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายในภาคเช้าจนกระทั่งปิดตลาด โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,396.17 จุด ในทิศทางกลับกันขาลงต่ำสุด 1,370.30 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 53 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 92 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 496 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,002.82 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -1,557.66 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -268.52 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -176.64 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,944.16 ล้านบาท ปิดที่ 97.25 บาท ลดลง 1.00 บาท
2.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,474.73 ล้านบาท ปิดที่ 129.50 บาท ลดลง 3.50 บาท
3.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,463.25 ล้านบาท ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 8.50 บาท
4.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,007.49 ล้านบาท ปิดที่ 32.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
5.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,663.40 ล้านบาท ปิดที่ 158.00 บาท ลดลง 3.50 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BCP ปิดที่ 40.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาทหรือ 0.63%
2.TASCO ปิดที่ 18.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาทหรือ 0.55%
3.BTS ปิดที่ 7.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาทหรือ 0.68%
(วันนี้ดัชนีหุ้นตก หุ้นในกลุ่ม SET 100 ราคาบวกเพียง 3 ตัวเท่านั้น )

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 8.50 บาทหรือ 10.53%
2.BH ปิดที่258.00บาท ลดลง 5.00 บาทหรือ 1.90%
3.KCE ปิดที่ 49.00 บาท ลดลง 4.00บาทหรือ 7.55%
4.KCE ปิดที่49.00บาท ลดลง 4.00บาทหรือ 7.55%
5.SCC ปิดที่287.00บาท ลดลง- 4.00บาทหรือ 1.37%

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,877.31 จุด ลดลง -42.04 จุด หรือ -2.19% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 846.89 จุด ลดลง -18.15 จุด หรือ -2.10% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 395.78 จุด ลดลง -11.54 จุด หรือ -2.83%

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงไปกว่า 30 จุด รับแรงกดดันทั้งนอกประเทศและในประเทศ โดยกังวลดอกเบี้ยสหรัฐยืนในระดับสูงยาวนาน หลังยอดขายบ้านใหม่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดมาก ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) 10 ปีของสหรัฐปรับตัวขึ้น รวมถึงบ้านเราด้วย ขณะเดียวกันสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็กลับมาตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น

ส่วนในประเทศ รัฐบาลได้มีการประกาศเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตออกมา 3 แนวทาง โดยจำกัดสิทธิคนรวย แต่ยังต้องรอความชัดเจนว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่ม Spending ประกอบกับเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ยังไหลออกต่อเนื่อง หลังค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ รีบาวด์ทางเทคนิค และด้วยปัจจัยลบรุมเร้า ยังให้น้ำหนักอิงทางขาลงอยู่

"แนะนำให้นักลงทุนติดตามการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐ ในคืนนี้ ตลาดคาดไว้ที่ 4.5% หากออกมาดีจะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง และหนุนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ย แต่หากปรับขึ้นดอกเบี้ย จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดเพิ่มเติม" นางสาวชุติกาญจน์ กล่าว

ขณะที่เทรนการลงทุนหุ้นรายตัว ที่มีปัจจัยเฉพาะตัว หรือเก็งกำไรในผลประกอบการไตรมาส 3/66 ที่คาดออกมาดี รวมถึงเลือกสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาถูก หรือ Valuation ไม่แพง และมีปันผล ซึ่งจะช่วยลดดาวน์ไซด์ได้บ้าง โดยมองกรอบดัชนีแนวรับแรกที่ 1,360 จุด ส่วนแนวรับถัดไป 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 1,385 จุด

ขณะที่นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดแถลงข่าวด่วนในช่วงเย็นวันนี้หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ดิ่งหนักไปถึง 30 จุด หรือ 2.17% โดยยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่าตลาดหุ้นหลายประเทศ แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และภูมิภาค ขณะที่ไม่ได้พบความผิดปกติในการซื้อขายวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นช็อตเซล หรือ Prop Trade โดยมองว่าสาเหตุหลักมาจากปัจจัยภายนอก ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากปัจจัยลบในต่างประเทศคลี่คลาย โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางคลี่คลายลง ก็จะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับมาได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่ได้มีปัญหา จึงขอร้องให้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบ

ส่วนเงินทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ที่ไหลออกไปตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ 1.7 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนระยะสั้น

"ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง -16% นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค และตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยภายนอกประเทศกดดัน แต่ก็ไม่ได้ปรับลงทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยกลุ่ม BANK ปรับตัวลง -1.73%, FASHION -3.69%, HELTA -4.35%, PROF +21.33%, TECH -6.34%, ETRON -3.63%, ICT -8.45%" นายภากร กล่าว

ขณะที่ Fund Flow ในปี 65 มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสูงถึง 2 แสนล้านบาท สวนทางกับปี 66 ที่นับตั้งแต่ต้นปี (YTD) มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 1.7 แสนล้านบาท แต่ที่น่าสนใจ คือ ปริมาณการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ โดย Foreign Holding ต้นปี 66 อยู่ที่ 29.98% ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 29.31% แม้ว่ามูลค่าจะลดลงจากเดือนพ.ย.65 ที่อยู่ 5.75 ล้านล้านบาท สู่ระดับ 5.02 ล้านล้านบาทในเดือน ต.ค.66 สะท้อนว่านักลงทุนระยะสั้นขายออก แต่ผู้ถือลงทุนในระยะยาวไม่ได้ลดลง โดยกลุ่มอุสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติถือครองลดลง ได้แก่ ทรัพยากร (Resources), Industrials, Agri&Food Industry, Consumer Products เป็นต้น 

“สภาวะตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป รวมถึงเอเชียแปซิฟิก ก็ลงเกิน 1% แต่เกาหลีใต้ลงมาสุด 2.84% สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่ตลาดหุ้นไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งในช่วงนี้เราอาจพบกับเหตุการณ์แบบนี้ได้บ่อย จากปัจจัยภายนอกที่ยังไม่สงบนิ่ง จึงแนะนักลงทุนติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ดูข้อมูลให้ดี ลองวิเคราะห์ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน” นายภากร กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น