ตลาดหุ้นไทยปิด -6.80 จุด นักวิเคราะห์ชี้ ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลงลึก Underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังข้อมูลเงินเฟ้อจีนต่ำกว่าคาด และ หุ้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจจีนมีแรงขายออกมา ช่วงบ่ายดัชนีทยอยฟื้นขึ้น หลัง ก.ล.ต. และ ตลท. ร่วมแถลงเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน มองกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับที่ 1,390 จุดและแนวต้านที่ 1,420 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 9 พ.ย. 2566 ปรับตัวลดลง -6.80 จุด หรือ -0.48% โดยปิดตลาดทึ่ 1,404.97 จุด มูลค่าซื้อขาย 49,743.19 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงลึกก่อนฟื้นตัวขึ้นในช่วงบ่าย โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,411.84 จุดในทิศทางกลับกันขาลงที่ลดลงต่ำสุด 1,389.46 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 150 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 166 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 329 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -3,112.06 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -313.36 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +3,018.96 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +406.47 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.BH มูลค่าการซื้อขาย 2,570.23 ล้านบาท ปิดที่ 233.00 บาท ลดลง 16.00 บาท
2.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,050.35 ล้านบาท ปิดที่ 162.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
3.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,793.39 ล้านบาท ปิดที่ 26.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
4.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,665.34 ล้านบาท ปิดที่ 55.00 บาท ลดลง 0.75 บาท
5.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,605.18 ล้านบาท ปิดที่ 33.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่ 162.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาทหรือ 0.93%
2.MTC ปิดที่ 42.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาทหรือ 1.82%
3.GPSC ปิดที่ 43.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาทหรือ 1.75%
4.EA ปิดที่ 46.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาทหรือ 1.65%
5.BGRIM ปิดที่ 24.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.70บาทหรือ 2.99%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 233.00บาท ลดลง 16.00บาทหรือ 6.43%
2.COM7 ปิดที่ 25.00บาท ลดลง 2.00บาทหรือ 7.41%
3.ADVANC ปิดที่ 222.00บาท ลดลง 2.00 บาทหรือ 0.89%
4.JMT ปิดที่ 32.75 บาท ลดลง 1.75 บาทหรือ 5.07%
5.KBANK ปิดที่ 131.50บาท ลดลง 1.50 บาทหรือ 1.13%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,926.60 จุด ลดลง -6.70 จุด หรือ -0.35% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 870.23 จุด ลดลง -2.15 จุด หรือ -0.25% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 397.17 จุด ลดลง -4.97 จุด หรือ -1.24%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลงลึก Underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อจีนต่ำกว่าคาดส่งผลให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนมีแรงขายออกมา รวมทั้งกลุ่มค้าปลีกวันนี้ปรับตัวลงมาก เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 3/66 ไม่ค่อยดีเท่าไร และหุ้น TRUE ที่มีข่าวยอดขายหุ้นกู้พลาดเป้ากระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นอกจากนี้วันนี้มีความคิดเห็นของผู้บริหารค้าปลีกรายหนึ่งที่มีความกังวลว่ายอดขายในไตรมาส 4/66 และครึ่งปีแรกในปี 67 จะซบเซา เนื่องจากประชาชนโดยเฉพาะในกรุงเทพ ยังรอความชัดเจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น Digital Wallet มาตรการลดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว ส่งผลให้ในวันนี้มีแรงขายค่อนข้างสูง
ช่วงบ่ายดัชนีปรับตัวขึ้นมา คาดว่าเกิดจากสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะแถลงร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วง 17.00 น. อาจจะลดความกังวลหลังดัชนีปรับตัวลงแรงได้บางส่วน ส่งผลให้ตลาดรีบาวด์ขึ้นมา อย่างไรก็ตามมองว่าการลงทุนในระยะยาวจะดีขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี (บอนด์ยีลด์) ย่อลงมาที่ระดับ 4.50% หุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ได้แก่ หุ้นโรงไฟฟ้าและหุ้นไฟแนนซ์
"แนวโน้มตลาดในวันพรุ่งนี้ลุ้นฟื้นตัว หากบอนด์ยีลด์สหรัฐย่อตัวลง, ราคาน้ำมันทรงตัว และรัฐบาลมีความชัดเจนในนโยบายแจกเงิน Digital Wallet กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีให้แนวรับไว้ที่ 1,390 จุดและแนวต้าน 1,420 จุด" นายศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย