xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 35.53 โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (7 พ.ย.) ที่ระดับ 35.53 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.49 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.40-35.60 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.38-35.58 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ในช่วงบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด หลังบอนด์ยิลด์ปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า และการปรับสถานะก่อนตลาดรับรู้ผลการประมูลบอนด์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับสำคัญในระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะทยอยซื้อทองคำได้ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่าโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงได้บ้างในระยะสั้น ซึ่งต้องจับตาว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องได้หรือไม่ นอกจากนี้ ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในฝั่งหุ้นที่เริ่มเห็นการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติบ้าง อย่างไรก็ดี แรงซื้อบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ทำให้เรามองว่าผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อเงินบาทมากขึ้น (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) และอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าใกล้โซนแนวต้านในการทยอยเพิ่มสถานะ Long THB ได้ ซึ่งจะช่วยจำกัดการอ่อนค่าลงของเงินบาท

อนึ่ง การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงคืนที่ผ่านเป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตา เนื่องจากทิศทางบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยหากบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงได้บ้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ผลการประมูลบอนด์สหรัฐฯ ยังเห็นความต้องการของผู้เล่นในตลาดมากขึ้น อาจทำให้เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง พร้อมกับการรีบาวนด์ขึ้นจากโซนแนวรับของราคาทองคำ และทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยิ่งหนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และทำให้ ราคาทองคำเสียโมเมนตัมขาขึ้นและเทรนด์ขาขึ้น กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบแนวต้านแถว 35.80 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไป 36.00 บาทต่อดอลลาร์) ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจีน โดยหากยอดการค้าระหว่างประเทศของจีนออกมาดีกว่าคาด สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวนในช่วงระยะสั้น หรืออาจช่วยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสกุลเงินฝั่งเอเชียเช่นกัน

แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ทว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เคลื่อนไหวผันผวน หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้มากนัก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบเพิ่มความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟดในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.18%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลงราว -0.16% ตามแรงขายทำกำไรของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ASML -1.0% LVMH -0.8% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก และรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง GDP ไตรมาส 3 ของอังกฤษในสัปดาห์นี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเฟดอาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว และเฟดอาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนพฤษภาคมหน้า ทว่า การปรับสถานะของผู้เล่นในตลาด หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงพอสมควรในสัปดาห์ก่อนหน้า รวมถึงการปรับสถานะเพื่อรอประเมินผลการประมูลบอนด์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.64% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรอาศัยจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือบอนด์ โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาวยังมีความน่าสนใจและคุ้มค่าความเสี่ยง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงใกล้ระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์อีกครั้ง (เงินเยนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผันผวนไปตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น) โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105.3 จุด (กรอบ 104.8-105.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมาสู่โซนแนวรับสำคัญแถว 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศในเดือนตุลาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออกและยอดการนำเข้าอาจหดตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนภาพการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้นบ้าง

ส่วนในฝั่งออสเตรเลีย เราประเมินว่าแนวโน้มการชะลอตัวลงของภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.10% ซึ่งต่างจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ที่มองว่า RBA อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.35% ได้

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในระยะข้างหน้า รวมถึงติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
กำลังโหลดความคิดเห็น