นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (18 ต.ค.) ที่ระดับ 36.38 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.25-36.50 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน sideway (แกว่งตัวในช่วง 36.28-36.47 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดไปมาก อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างจำกัด หลังสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ยังคงหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทในช่วงนี้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัว sideway ในกรอบที่ไม่ต่างจากวันก่อนหน้ามากนัก ท่ามกลางสถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ขณะเดียวกัน บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้วันนี้บอนด์ยิลด์ไทยเสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้นตาม ทำให้อาจมีแรงขายบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมได้ ส่วนในฝั่งหุ้น บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงอาจกดดันตลาดหุ้นไทยต่อในช่วงนี้
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาตามคาด หรือดีกว่าคาด ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้น เรามองว่า ภาพดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้เงินหยวนของจีนทยอยแข็งค่าขึ้น และอาจช่วยหนุนการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชียได้บ้าง โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ช่วงหลังมีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับเงินหยวนของจีนบ้าง (Correlation ล่าสุด ราว +50%) ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาน่าผิดหวัง อาจส่งกดดันทั้งเงินหยวนของจีนและสกุลเงินฝั่งเอเชีย อนึ่ง ในเบื้องต้น เราประเมินว่า โซนแนวต้านของเงินบาทยังคงอยู่ในช่วง 36.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับแรกยังอยู่แถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้เล่นในตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.01% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้างตามรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน อย่าง BofA ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดกลับยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังสถานการณ์สงครามยังคงมีความไม่แน่นอนจากรายงานการระเบิดของโรงพยาบาลในฉนวนกาซา นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินยังถูกกดดันจากการที่ทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนระงับการส่งออกชิปไปจีน รวมถึงความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน จากรายงานยอดค้าปลีกล่าสุดที่ขยายตัวได้ดีกว่าคาดไปมาก
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลง -0.10% กดดันโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ตามบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปยังไม่ค่อยสดใสนัก ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นานของเฟด (Higher for Longer) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถทยอยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4.84% อย่างไรก็ดี แม้ว่าบอนด์ยิลด์ระยะยาวสหรัฐฯ จะผันผวน ทว่า เราคงแนะนำ Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวในช่วงยิลด์สูงมีความคุ้มค่าและน่าสนใจอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัว sideway โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 106.2 จุด (กรอบ 106-106.6 จุด) โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง ทำให้เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ชัดเจน ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ยังคงช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวใกล้ระดับ 1,937 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าราคาทองคำจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อทะลุโซนแนวต้าน 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้หรือไม่ เนื่องจากการปรับตัวขึ้นทะลุโซนดังกล่าวจะสะท้อนว่าราคาทองคำเริ่มมีแนวโน้มกลับมาเป็นขาขึ้นได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน (ทยอยรับรู้ในช่วง 9.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 อาจขยายตัวราว +4.5%y/y ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นการขยายตัว +1.0%q/q สะท้อนภาพการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ได้แรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ หลังการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะสอดคล้องกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเดือนกันยายนที่ยอดค้าปลีกอาจโตได้ +4.9%y/y ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) อาจขยายตัว +4.3%y/y ทั้งนี้ ยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) อาจโตเพียง +5.2%y/y, YTD กดดันโดยภาคอสังหาฯ ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนกันยายน โดยอัตราเงินเฟ้อชะลอลงต่อเนื่อง (โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI) อาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) สามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% ต่อไปได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่