xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 36.12 อ่อนค่ารอผลประชุมเฟด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (1 พ.ย.) ที่ระดับ 36.12 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.96 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.05-36.30 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด และประเมินกรอบ 35.90-36.60 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 35.93-36.17 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงหนักของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผลการประชุม BOJ ไม่ได้ปรับนโยบาย Yield Curve Control อย่างที่ตลาดคาดหวัง นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำสู่โซนแนวรับระยะสั้นเป็นอีกปัจจัยที่กลับมากดดันเงินบาทเช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มกลับมาบ้างหลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงหนักของเงินเยนญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ราคาทองคำย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในช่วงย่อตัว อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลงก็อาจติดโซนแนวต้านแถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนสูงในช่วงนี้ แต่เรามองว่าแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ตั้งแต่ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ไปจนถึงช่วงรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยในช่วงนี้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเฟดเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้นาน (Higher for Longer ) ทำให้หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้ดีไปกว่าคาดชัดเจน หรือเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด เรามองว่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลงได้บ้าง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ยังออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุมเฟด (รับรู้ในช่วง 1.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.65%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.59% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันบ้างจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนภาพการชะลอตัวลงมากขึ้นของเศรษฐกิจยูโรโซน ทว่าภาพดังกล่าวกลับทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth สามารถรีบาวนด์ขึ้นได้บ้าง (ASML +2.4% SAP +0.9%)

ในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงเปิดรับความเสี่ยงและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังมองว่า เฟดอาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้นาน (Higher for Longer) ในการประชุมเฟดที่จะถึงนี้ ยังคงส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.93% อย่างไรก็ดี บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในสัปดาห์นี้ แต่เรามองว่า จุดสูงสุดน่าจะอยู่ใกล้แถว 5% ทำให้เรายังคงแนะนำ “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาว โดยรอจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ในการทยอยเข้าซื้อ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงหนักทะลุระดับ 151 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังต่อการปรับมาตรการ Yield Curve Control ของ BOJ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.7 จุด (กรอบ 105.9-106.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ผลการประชุมเฟด ที่จะรับรู้ในช่วงราว 1.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาประเทศไทย โดยจากการประเมินถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต่างกังวลต่อแนวโน้มภาวะการเงิน (Financial Conditions) ที่ตึงตัวมากขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ (โอกาส 95.8% จาก CME FedWatch Tool) และสถานการณ์สงครามที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้เรามองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% อย่างไรก็ดี เราจะจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วงหลังรับรู้ผลการประชุม และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ และนอกเหนือจากผลการประชุมเฟด เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เช่น ดัชนี ISM ภาคการผลิต และรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน เช่น ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจะถูกรับรู้ก่อนผลการประชุมเฟด ทำให้ตลาดการเงินอาจผันผวนสูงได้พอสมควร

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น