นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (25 ต.ค.) ที่ระดับ 36.17 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.05-36.30 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหว sideway (แกว่งตัวในช่วง 36.14-36.25 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลดัชนี PMI ฝั่งยุโรปออกมาแย่กว่าคาด ในขณะที่ดัชนี PMI ของสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทถูกจำกัดโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นตามการย่อตัวลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ในกรอบไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้ามากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่างอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 (วันพฤหัสฯ) รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ PCE (วันศุกร์) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง ทั้งนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินที่เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นอาจช่วยหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยได้บ้าง หลังในช่วงที่ผ่านตลาดดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควรและอยู่ในระดับที่ valuation ถือว่าไม่แพง ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ หากบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวในระดับเดิมและไม่ได้ปรับตัวขึ้นรุนแรงแบบในช่วงก่อนหน้า เรามองว่าแรงขายบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจลดลงบ้างในช่วงระยะสั้นนี้
นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อาจเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ทำให้เราคงมองว่าเงินบาทอาจมีโซนแนวต้านแรกแถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซนแนวต้านถัดไปแถว 36.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะเดียวกัน โซนแนวรับอาจยังคงเป็นช่วง 36.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด
รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาสดใส ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.73% ทั้งนี้
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 รีบาวนด์ขึ้นราว +0.44% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ของฝั่งยูโรโซนที่ออกมาแย่กว่าคาดและยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด เช่น Hermes +2.8%
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้รายงานดัชนี PMI สหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด จะยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่าเฟดอาจสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) และช่วยหนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.88% แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนใช้จังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยทำกำไรสถานะ Short ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้ไกลและพลิกกลับมาย่อลงสู่ระดับ 4.82% ทั้งนี้ เรามองว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงมีความผันผวนอยู่ และจะยังไม่สามารถกลับมาเป็นแนวโน้มขาลงได้ง่าย จนกว่าตลาดจะเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง และเฟดอาจไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบ Higher for Longer ได้ ทว่า เราคงคำแนะนำเดิมว่า นักลงทุนสามารถทยอย Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวในช่วงยิลด์สูงมีความคุ้มค่าและน่าสนใจอยู่มาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังรายงานข้อมูลดัชนี PMI สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ดัชนี PMI ฝั่งยุโรปออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.2 จุด (กรอบ 105.8-106.4 จุด) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงบ้างตามการย่อตัวลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลสถานการณ์สงครามที่เริ่มลดลงบ้าง รวมถึงการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงตามแรงขายทำกำไร ก่อนที่ราคาทองคำจะรีบาวนด์ขึ้นได้บ้าง หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง ซึ่งช่วยหนุนให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวขึ้นและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่