นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19 ต.ค.) ที่ระดับ 36.38 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.29 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.25-36.55 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.23-36.41 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินจากสถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสที่ยังคงร้อนแรง ซึ่งหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ความกังวลผลกระทบจากสงคราม รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดูดีอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอาจอยู่ในระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.90% อีกครั้ง อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทถูกชะลอลงจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากความเสี่ยงสงคราม
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน จากสถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นพอสมควร อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นตามความเสี่ยงภาวะสงคราม ทั้งนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังมีความผันผวนสูงอาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทสามารถผันผวนอ่อนค่าได้ หากนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายสินทรัพย์ไทย อนึ่ง เราประเมินว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก เนื่องจากดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงมาสู่ระดับที่ valuation ไม่แพง และเป็นโซนแนวรับสำคัญในเชิงเทคนิเคิล ส่วนบอนด์ยิลด์ไทยอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อไปมากนัก (คาดว่าผู้เล่นในตลาดต่างรอความชัดเจนของมาตรการ Digital Wallet)
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดเริ่มให้น้ำหนักเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือนธันวาคม หรือการประชุมในช่วงต้นปีหน้ามากขึ้น และมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงเพียง -50bps ในปีหน้า ซึ่งหากถ้อยแถลงของประธานเฟด ทำให้มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดเปลี่ยนแปลงไป อาจกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร
ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงกว่า -1.34% ท่ามกลางปัจจัยกดดัน ทั้ง 1) สถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาสที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น 2) ความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการบริษัทผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia หลังทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนระงับการส่งออกชิปไปจีน และ 3) ความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส และผลกระทบจากภาวะสงครามที่อาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น กระทบต่อแนวโน้มการชะลอลงของเงินเฟ้อ
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ยังคงออกมาสดใส รวมถึงแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสถานการณ์สงครามบานปลาย จนอาจกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นานของเฟด ซึ่งแม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ชัดเจน แต่บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถทยอยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4.90% ได้ ทั้งนี้ ความผันผวนของบอนด์ยิลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงนี้ไม่ได้ผิดไปจากที่เราคาดการณ์ไว้ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า นักลงทุนสามารถทยอย Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวในช่วงยิลด์สูงมีความคุ้มค่าและน่าสนใจอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 106.5 จุด (กรอบ 106.1-106.7 จุด) โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดกังวลภาวะสงคราม ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นได้ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดกังวลภาวะสงครามเช่นกัน ทำให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด นอกจากนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell (ในช่วงเวลา 23.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) หลังล่าสุดภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงมาก ขณะเดียวกัน ปัจจัยสงครามอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอยากจับตาว่า ท่าทีของประธานเฟดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดจะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่