นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (27 ต.ค.) ที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.25 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และมองกรอบในช่วง 36.00-36.50 บาท/ดอลลาร์ หลังตลาดทยอยรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน (แกว่งตัวในช่วง 36.22-36.36 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงาน GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ไม่นาน ก็เผชิญแรงขายทำกำไร และเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมาจากทั้งการปรับสถานะ Short ของผู้เล่นในตลาด ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า รายงาน GDP ล่าสุดได้สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ซึ่งจะลดโอกาสการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการรีบาวนด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ ที่ยังสามารถแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.)
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-Off) ซึ่งต้องรอจับตา ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้น ขณะที่การย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจช่วยชะลอแรงขายบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติได้ ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าอาจยังคงเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ ทำให้เรามองว่าเงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่ในโซน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงทรงตัวแถว 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ปรับตัวขึ้นบ้าง อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ ทว่า เรายังไม่ได้มองว่าเงินบาทจะสามารถแข็งค่าหลุดระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ จนกว่าตลาดจะปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer)
เราแนะนำว่าผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ตั้งแต่ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ (ในช่วงเวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) โดยอัตราเงินเฟ้อกลับออกมาสูงกว่าคาดและไม่ได้ชะลอตัวลงตามที่ตลาดคาดหวัง อาจหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ไม่ยาก ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ได้
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ารายงาน GDP สหรัฐฯ ล่าสุด จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) ทว่า รายงานดังกล่าวสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงมากขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเหลือไม่เกิน 28% ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับแรงขายทำกำไรสถานะ Short บอนด์ระยะยาว และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดจากความกังวลสถานการณ์สงคราม รวมถึงความผันผวนในตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงจากระดับ 4.98% สู่ระดับ 4.85% สะท้อนถึงความผันผวนในตลาดบอนด์ที่สูงพอสมควรในช่วงนี้ (ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวในกรอบ 4.8%-5.0%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นหลังรายงาน GDP สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 106.6 จุด (กรอบ 106.5-106.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงระหว่างวันจะได้แรงหนุนจากความกังวลสถานการณ์สงครามที่ร้อนแรงขึ้น แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) เผชิญแรงกดดันบ้างในช่วงเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ไปไกลและยังคงแกว่งตัวในโซน 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ จังหวะการรีบาวนด์ของราคาทองคำที่เกิดขึ้นหลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิดคือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ที่ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงานมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.4% และ 3.7% ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นที่เฟดจะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ แต่อาจยังคงทำให้เฟดสามารถส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงมากกว่าปัจจุบัน
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้