บริษัทวิจัยตลาด เทคนาวิโอ คาดตลาดคริปโตวอลเล็ตจะโตขึ้น 700 ล้านดอลลาร์โดยประมาณในปี 2026 โดยอเมริกาเหนือยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลสูงสุดที่ 41% ตามด้วยจีน พร้อมเตือนกฎข้อบังคับใหม่ๆ เพื่อปกป้องนโยบายการเงินและการคลังของธนาคารกลางอาจขัดขวางการเติบโตนี้
เทคนาวิโอคาดการณ์ว่า มูลค่าการใช้คริปโตวอลเล็ตจะเพิ่มขึ้น 686 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 โดยขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของเครือข่ายไร้สาย การทำธุรกรรมออนไลน์ และวิวัฒนาการของกฎข้อบังคับ
บริษัทวิจัยตลาดแห่งนี้ประเมินว่า ความไม่สงบในตลาดการเงินระหว่างโควิด-19 ระบาดช่วยกระตุ้นการสร้างดิจิตอลวอลเล็ต โดยผู้ขายวอลเล็ตที่ร่วมแสดงความคิดเห็นในการสำรวจนี้รวมถึงไบแนนซ์, เอ็กโซดัส, เจมิไน ทรัสต์, เทรเซอร์ และเลดเจอร์
อเมริกาเหนือเป็นตลาดคริปโตวอลเล็ตใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่ง 41% อันดับ 2 คือจีน ตามด้วยสหราชอาณาจักร เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์
จากการศึกษาของเทคนาวิโอ ขนาดตลาดอีวอลเล็ตที่รวมถึงสกุลเงินที่ไม่ใช่คริปโตด้วยนั้นคาดว่า จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 163,430 ล้านดอลลาร์ในปี 2027
ทั้งนี้ ระหว่างวิกฤตโรคระบาด บริษัทอเมริกันอย่างคอยน์เบสและโรบินฮูด มาร์เก็ตส์ พากันนำเสนอวอลเล็ตที่ช่วยให้ลงทุนในคริปโตได้อย่างง่ายดาย ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของคริปโตวอลเล็ตยังรวมถึงความแพร่หลายของเกม play-to-earn
มาตรการจำกัดต่างๆ ในช่วงโควิดกระตุ้นให้คนพยายามหารายได้จากคริปโต เช่น การเล่นเกมบนบล็อกเชนอย่าง Axie Infinity ผลลัพธ์คือมีการสร้างวอลเล็ตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในประเทศอย่างฟิลิปปินส์ขณะที่ผู้เล่นเบียดเสียดกันฉกฉวยโอกาสสร้างรายได้เสริม
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มูลค่าเงินลงทุนในคริปโตในอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 923 ล้านดอลลาร์เป็น 6,600 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ความพยายามร่วมกันในการควบคุมคริปโตอาจทำให้อัตราการยอมรับสกุลเงินดิจิตอลชะลอลง ตัวอย่างเช่น กฎข้อบังคับใหม่ในฮ่องกง และการผ่านกฎหมาย Markets in Crypto-Assets (MiCA) ของสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อไม่นานมานี้ อาจทำให้การออกวอลเล็ตใหม่ๆ ซับซ้อนขึ้นเนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎป้องกันการฟอกเงิน
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้นำจี20 เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการกำหนดกรอบโครงคริปโตทั่วโลก และต้นเดือนนี้อินเดียมอบหมายให้คณะกรรมการเสถียรภาพทางการเงินและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เผยแพร่เอกสารเสนอแนะนโยบายคริปโตระดับโลก
ข้อความตอนหนึ่งในเอกสารดังกล่าวระบุว่า การใช้สกุลเงินดิจิตอลส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงิน รวมทั้งบ่อนทำลายนโยบายของธนาคารกลาง และการเลือกถือคริปโตหมายความว่า นักลงทุนมีแนวโน้มน้อยลงที่จะฝากเงินที่อาจมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่น หรืออีกนัยหนึ่งคือการขอให้ประเทศต่างๆ ปกป้องอธิปไตยทางการเงิน
ขณะเดียวกัน กฎหมาย MiCA ของอียูจะทำให้ความเป็นส่วนตัวของธุรกรรมคริปโตลดลงด้วยการบังคับให้แพลตฟอร์มเทรดคริปโตต้องรายงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมบนแพล็ตฟอร์ม
ขณะที่ข้อเสนอล่าสุดของแจ็ค รีด สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ คือการบังคับใช้กฎการรายงาน “รู้จักลูกค้าของคุณ” ซึ่งหมายถึงผู้ที่ควบคุมหรือลงทุนก้อนใหญ่ในโปรโตคอลแบบกระจายศูนย์
