คณะนักวิทยาศาสตร์อิสระและผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับมอบหมายจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ซึ่งกำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของรายงานต่างๆ เกี่ยวกับการพบเห็น ‘ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้’ (Unidentified Anomalous Phenomena : UAP หรือ UFO) เน้นย้ำในวันพฤหัสบดี (14 ก.ย.) ยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าแสงประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้บนท้องฟ้าคือหลักฐานของผู้มาเยือนจากดาวดวงอื่น แต่ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่มันจะมีอยู่จริง
ระหว่างแถลงสรุป ที่กองบัญชาการใหญ่ของหน่วยงานด้านอวกาศแห่งนี้ ในวอชิงตัน ดี.ซี. ทาง แดน อีแวนส์ นักวิทยาศาสตร์ของนาซา ยอมรับว่า "การปรากฏตัวของปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้ (UAP) ได้ก่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของน่านฟ้าของเรา และสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องสรุปคือปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้เหล่านี้ ก่อความเสี่ยงใดๆ ต่อความปลอดภัยของน่านฟ้าหรือไม่"
นาซาได้รวบรวมคณะนักวิทยาศาสตร์อิสระและผู้เชี่ยวชาญ 16 คน เมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางระลอกคลื่นความสนใจของสาธารณะในประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่คลิปต่างๆ ที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป เป็นภาพวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์กำลังบินหลบหลีกในลักษณะท้าทายทางฟิสิกส์ และบ่อยครั้งเห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงการขับเคลื่อนใดๆ
ในการพูดหลังจากเผยแพร่รายงาน 36 หน้าในประเด็นดังกล่าว ทาง บิลล์ เนลสัน ผู้บริหารขององค์การนาซาแนะนำให้ใช้วิธีการที่หลากหลาย ในนั้นรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมกับสิ่งที่พบเห็น นอกจากนี้ ยังได้แถลงแต่งตั้งผู้อำนวยการใหม่ เพื่อดูแลงานวิจัยด้านปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้ โดยเฉพาะ
"ประเด็นสำคัญสูงสุดของการศึกษายังมีอีกมากมายให้ทำการเรียนรู้" เนลสันกล่าว "แต่ทีมศึกษาอิสระของนาซา ไม่พบหลักฐานใดๆ ว่าปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้ (UAP) มีแหล่งที่มาจากนอกโลก แต่เราไม่รู้ว่า UAP เหล่านี้คืออะไร"
รายงานเน้นย้ำว่า ในขณะที่การพบเห็นมากมายสามารถหาคำอธิบายได้ แต่บางส่วนที่ทำการศึกษา "ไม่อาจระบุได้อย่างทันที ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ผิดปกติจากฝีมือมนุษย์หรือโดยธรรมชาติ" และรายงานบอกต่อว่า "ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีเอเลี่ยน ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติการในชั้นบรรยากาศโลกได้เช่นกัน"
การเผยแพร่ผลการค้นพบของนาซา มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศระดับอาวุโสรายหนึ่ง เข้าให้ปากคำกับสภาคองเกรสเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยเขาบอกว่ารัฐบาลมักระงับการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับการมีอยู่ของปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้เป็นประจำ
นอกจากนี้ รายงานของนาซายังมีขึ้น 1 วันหลังจากสภาคองเกรสของเม็กซิโก นำเสนอหลักฐานที่อ้างว่าเป็นซากสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อายุกว่า 1,000 ปี 2 ร่าง ที่ขุดพบบริเวณเหมืองแห่งหนึ่งในเปรู
ไฮเม เมาส์ซัน ผู้สื่อข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะชาวเม็กซิโก ซึ่งศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว (เอเลี่ยน) และจานบิน (UFO) มาเป็นเวลาหลายสิบปี เผยในที่สภาว่า ซากฟอสซิลสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เอเลี่ยนในครั้งนี้นั้น เป็นซากของร่างที่มีขนาดเล็ก 2 ร่าง ถูกบรรจุในกล่อง มือแต่ละข้างมีนิ้วเพียง 3 นิ้ว และมีศีรษะยื่นออกมา และคาดว่าซากที่พบนี้มีอายุราว 1,000 ปี ถูกค้นพบที่เปรู ใกล้กับลายเส้นโบราณนาซกา เมื่อปี 2017
เมาส์ซัน กล่าวอีกว่า ตัวอย่างฟอสซิลเอเลี่ยนเหล่านี้ได้ถูกวิเคราะห์โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติเม็กซิโก (UNAM) ซึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสามารถสกัด DNA และตรวจสอบหาอายุฟอสซิลจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (radiocarbon ซึ่งหลังทำการเปรียบเทียบ DNA พบว่ากว่า 30% ของซากนี้ที่ถูกสกัดออกมาแล้ว ไม่มีดีเอ็นเอจากมนุษย์
เมาส์ซัน ทิ้งท้ายว่า นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอหลักฐานดังกล่าว “ผมคิดว่านี่เป็นการแสดงที่ชัดเจนว่า เรากำลังจัดการกับตัวอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลกของเรา และสถาบันวิทยาศาสตร์ทุกแห่งเปิดโอกาสความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะตรวจสอบมัน เราไม่ได้อยู่คนเดียว”
นอกจากนี้ ได้มีการขอให้สภาเม็กซิโกรับฟังเรื่องดังกล่าว และพิจารณาต่อสาธารณชน เนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ระบุว่า ฟอสซิลแบบนี้ที่เคยถูกพบในอดีตนั้น เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่า เป็นซากมัมมี่ของเด็ก ในขณะที่ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพของกองทัพเรือเม็กซิโก กล่าวว่า ควรมีการตรวจสอบซากฟอสซิลที่มีการอ้างว่าเป็นซากเอเลี่ยนอายุนับพันปีนี้ จากวิธีเอกซเรย์ การสร้างภาพสามมิติ (3-D reconstruction) และการวิเคราะห์ DNA
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)