นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศจุดยืนชัดเจน ตลอด 4 ปีของรัฐบาลจะไม่มีการเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยในเชิงบวก แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ตอบรับและทรุดหนักลงเสียอีก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์บางสำนัก ฟันธงทันที ตลาดหุ้นจะตอบรับข่าวดีการล้มแผนเก็บภาษีขายหุ้น โดยดัชนีจะฟื้นตัวขึ้น แต่ปรากฏว่า ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จากนักลงทุน และดัชนียังปักหัวลงต่อจากปลายสัปดาห์ก่อน
การซื้อขายหุ้นวันจันทร์ที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันแรกหลังจากนายเศรษฐาประกาศไม่เก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะคึกคักดี แต่ดัชนีหุ้น กลับปรับฐานลงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ก่อนปิดลงที่ 1,527.57 จุด ลดลง 14.46 จุด มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 42,566 ล้านบาท
การล้มแผนเก็บภาษีขายหุ้นไม่มีผลใดกับตลาดหุ้น นอกจากผลในเชิงจิตวิทยา โดยนักลงทุนไม่ต้องกับผลกระทบจากการเก็บภาษีขายหุ้นเท่านั้น
การเก็บภาษีขายหุ้นปะทุขึ้นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยกระทรวงการคลังประกาศจะเก็บภาษีการขายหุ้นในอัตรา 0.10% ของมูลค่าการขายหุ้น หรือเก็บภาษีขายหุ้น 1,000 บาท ต่อการขายหุ้น 1 ล้านบาท ไม่ว่าจะขายขาดทุนหรือขายมีกำไรก็ตาม
คนในแวดวงตลาดหุ้นได้ลุกฮือเคลื่อนไหว คัดค้านต่อต้านการเก็บภาษีขายหุ้น เพราะจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการลงทุน โดยนักลงทุนมีต้นทุนสูงขึ้น ต่างชาติจะลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และมูลค่าการซื้อขายจะทรุดฮวบ
แต่กระทรวงการคลังยืนกรานที่จะเดินหน้าเก็บภาษีขายหุ้นต่อไป เพียงแต่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีไม่ทัน เพราะเป็นช่วงปลายวาระของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
แผนเก็บภาษีขายหุ้นจึงค้างอยู่ที่กระทรวงการคลัง รอรัฐบาลชุดใหม่ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ซึ่งรัฐบาลนายเศรษฐา ได้ตัดสินใจแล้วที่จะไม่เดินต่อ และพับแผนเก็บภาษีขายหุ้นเข้าลิ้นชักอย่างน้อย 4 ปี
การพับแผนเก็บภาษีขายหุ้นอัตรา 10% มีผลเพียงแค่ตลาดหุ้นจะไม่มีข่าวร้ายเข้าซ้ำเติมเท่านั้น โดยนักลงทุนไม่ต้องพะวงจากถูกเรียกเก็บภาษีเมื่อขายหุ้น แต่ไม่มีผลกระตุ้นตลาดหุ้นอย่างเป็นรูปธรรม
หุ้นยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งทะยาน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจขยับอีกระลอก ผลกระทบจากกรณีหุ้นเอเวอร์กรีนแลนด์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง และราคาหุ้นดิ่งลงหนัก
และการเทขายหุ้นอย่างไม่หยุดยั้งของนักลงทุนต่างชาติ โดยยอดขายหุ้นสุทธิสะสมจากสิ้นปี จนสิ้นสุดวันที่ 18 กันยายน มีจำนวนทั้งสิ้น 150,107.94 ล้านบาท โดยไม่มีสัญญาณว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 เดือนเศษของปีนี้ต่างชาติจะหวนกลับมาซื้อหุ้น
ข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างหนัก แม้แต่การไม่เก็บภาษีขายหุ้นยังปลุกความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ขึ้น และมองไม่เห็นว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2566 จะมีปัจจัยใดกระตุ้นให้ตลาดหุ้นฟื้นคืนสู่ความคึกคักได้
นักลงทุนรายย่อยต้องทำใจยอมรับความเป็นจริง ช่วงเวลาดีของตลาดหุ้นในปีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว และแนวโน้มจากนี้จนถึงสิ้นปีมีแต่ความไม่แน่นอน หรือบรรยากาศการซื้อขายที่เงียบเหงา
การปรับฐานลงของตลาดรอบนี้จะหลุด 1,500 จุดหรือไม่ยังต้องลุ้น แต่ เป้าหมายดัชนีปลายปี 1,600 จุดที่บรรดากูรูหุ้นมองไว้อาจไม่ได้ลุ้นที่จะได้เห็น