บรรยากาศการซื้อขายหุ้นวันศุกร์ส่งท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยเฉพาะมูลค่าซื้อขายที่ลดฮวบ เหลือเพียง 34,723.10 ล้านบาทเท่านั้น ต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์
ภาวะตลาดหุ้นกำลังย้อนกลับไปในช่วงก่อนการโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสถานการณ์การเมืองอึมครึม นักลงทุนพากันชะลอการซื้อขายหุ้น จนมูลค่าซื้อขายหุ้นเบาบางเหลือวันละ 4 หมื่นล้านบาท และบางวันก็ต่ำกว่า
นักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนทางการเมือง แต่เมื่อนายเศรษฐา ได้รับเสียงโหวตให้เป็นนายกฯ หุ้นกลับมาคึกคัก ดัชนีปรับตัวขึ้น 7 วันทำการติดต่อ มูลค่าซื้อขายหุ้นพุ่งขึ้นวันละ 7 หมื่นล้านบาท
แต่หลังจากตอบรับนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จนเต็มอิ่ม หุ้นเริ่มปรับตัวลงอีกครั้ง เพราะขาดปัจจัยชี้นำ ขณะที่นักลงทุนทุกกลุ่มชะลอการซื้อขาย และนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายหุ้นต่อ ทำให้ดัชนีอ่อนตัวลง ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่หดตัวต่ำกว่าวันละ 4 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นและแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงเวลา 3 เดือนเศษที่เหลือไม่สดใสนัก โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ปีนี้เหลือ 2.5-3% เพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอ่อนแรง การใช้จ่ายภาครัฐบาลหดตัว
การส่งออกลดลง และติดลบลบแทบบุกหมวดสินค้าส่งออก ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้
เศรษฐกิจที่ยังฟุบย่อมส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้น โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน ซึ่งผลประกอบการโดยรวมจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ขาดแรงกระตุ้นการลงทุน และข่าวดีอื่นก็ขาดแคลน
ตลาดหุ้นจึงตกอยู่ในสภาพไร้ทิศทาง ขาดปัจจัยชี้นำ ทั้งจากภายในและภายนอก โดยตลาดหุ้นทั่วโลกมีลักษณะประคองตัว เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ส่วนรัฐบาลชุดใหม่ ยังต้องรอประเมินผลงานในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
ไม่มีสัญญาณความสดใสของตลาดหุ้น ช่องว่างการทำกำไรแคบลง และกูรูหุ้นส่วนใหญ่เตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง หรือชะลอการลงทุน เพราะมองแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ไม่ดีนัก
แม้ดัชนีจะไม่เกิดความผันผวนรุนแรง โดยแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบแคบในระดับ 1,550 จุด แต่มูลค่าซื้อขายหุ้นลดต่ำลงมาก สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า นักลงทุนทุกกลุ่มชะลอการลงทุน
เพียงแต่นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นทิ้งไม่เลิกเท่านั้น
ภาวะความซบเซาของตลาดหุ้นรอบนี้อาจไม่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในระดับ 1 หรือ 2 วันเท่านั้น แต่มีโอกาสยืดเยื้อยาวนาน ปกคลุมตลาดหุ้นไปจนตลาดปิดฉากปี 2566 ได้ โดยอาจมีการปรับตัวขึ้นได้บ้างในรอบสั้น แต่แนวโน้มโดยรวมจะมีสภาพซึมลง
มูลค่าซื้อขายวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งทรุดลงเหลือ 3.4 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนทบทวนกลยุทธ์การลงทุนในข่วง 3 เดือนเศษข้างหน้า จะประคองตัวอย่างไรไม่ให้เสียหาย และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นซบเซาสุดขีดไปได้ เพื่ออยู่รอลุ้นการฟื้นตัวในปีหน้า
โค้งสุดท้ายของตลาดหุ้นไทยปี 2566 บรรยากาศซื้อขายคงวังเวง ดัชนีอาจยืนประคองเหนือ 1,500 จุดได้ ไม่เกิดความผันผวนรุนแรงจนเกิดความตื่นตระหนก
แต่มูลค่าซื้อขายหุ้นมีโอกาสเงียบเหงาขึ้นกว่าเดิม และอาจเห็นวอลุ่มหุ้นต่ำกว่าวันละ 3 หมื่นล้านบาท
เพราะนักลงทุนทุกกลุ่มพากันพักรบ ทยอยถอยออกจากตลาดหุ้นชั่วคราว