ศูนย์ข้อมูลฯ เผยสถานการณ์ยอดโอนห้องชุดต่างชาติครึ่งปีเติบโตแรง หน่วยโอนเพิ่มขึ้น 65.6% มูลค่าการโอนครึ่งปีไหลไปถึง 35,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.8% จับตาทั้งปี ทั้งหน่วยโอนมูลค่าอาจทำสถิติใหม่ ได้เห็นมูลค่าโอนทะลุ 60,000 ล้านบาท จีนยังครองแชมป์ จับตารัสเซียมาแรงโตเท่าตัว เผยไตรมาส 2 ชลบุรี มาอันดับ 1 ส่วนกรุงเทพฯ มูลค่าโอนสูงที่สุดกว่าหมื่นล้านบาท คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ปรับตัวลดลง ทั้งตลาดแนวราบ และอาคารชุด
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติไตรมาส 2 ปี 2566 ว่า การโอนกรรมสิทธิ์ของของคนต่างชาติ ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ 3,563 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.6 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมด ส่วนมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.6 หรือมีจำนวน 18,083 ล้านบาท โดยภาพรวมพบว่ามีหน่วยโอนเพิ่มขึ้นร้อยละ 54.3 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.4
"ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ 7,338 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.7 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมด ส่วนมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.5 หรือมีจำนวน 35,211 ล้านบาท โดยมีหน่วยโอนเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.6 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.8 โดยพบว่าสัญชาติจีนยังคงซื้อห้องชุดมากที่สุดเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 เป็นรัสเซีย ขณะที่สัญชาติพม่าซื้อห้องชุดมีมูลค่าสูงที่สุด โดยซื้อราคาเฉลี่ย 7 ล้านบาท และสัญชาติอินเดียซื้อห้องชุดที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยสูงที่สุด โดยซื้อพื้นที่เฉลี่ย 89.8 ตร.ม."
โดย 5 อันดับแรกที่มีการโอนห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็น สัญชาติจีน มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอน จำนวน 3,448 หน่วย มูลค่า 16,992 ล้านบาท อันดับ 2 คือ รัสเซีย จำนวน 702 หน่วย มูลค่า 2,556 ล้านบาท ซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจ เนื่องจากหน่วยโอนครึ่งปีแรกเติบโตเท่าตัวเมื่อเทียบกับยอดโอน จำนวน 306 หน่วย ของทั้งปี 2564
อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา จำนวน 293 หน่วย มูลค่า 1,289 ล้านบาท อันดับ 4 ฝรั่งเศส จำนวน 269 มูลค่า 1,127 ล้านบาท และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร จำนวน 260 หน่วย มูลค่า 1,287 ล้านบาท
สำหรับในไตรมาส 2 ปี 66 จังหวัดที่มีหน่วยโอนห้องชุดต่างชาติมาอันดับ 1 ได้แก่ จังหวัดชลบุรี 1,582 หน่วย มูลค่าอยู่ที่ 5,283 ล้านบาท กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 2 ที่มีหน่วยโอนอยู่ที่ 1,342 หน่วย แต่มีมูลค่าการโอนสูงที่สุดถึง 10,257 ล้านบาท
ส่วนจังหวัดภูเก็ต มีหน่วยโอน 254 หน่วย มูลค่า 1,387 ล้านบาท จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 135 หน่วย มูลค่า 363 ล้านบาท และ จังหวัดสมุทรปราการ 87 หน่วย มูลค่า 218 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากตัวเลขของศูนย์ข้อมูลจะเห็นสัญญาณการโอนห้องชุดของชาวต่างชาติตลอดทั้งปี 2566 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อาจจะทำสถิติสูงสุด โดยเฉพาะมูลค่าการโอนอาจจะมีตัวเลขใกล้ระดับ 60,000 ล้านบาท หรือเกินกว่าตัวเลขนี้ หากไตรมาส 3 และ 4 มีตัวเลขโอนฯรวมไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2565 การโอนฯห้องชุดของชาวต่างชาติ มีจำนวน 11,561 หน่วย มูลค่าการโอน 59,260 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 หน่วยโอนอยู่ที่ 13,561 หน่วย มูลค่า 57,251 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าโอนฯรวมในครึ่งปีแรกสูง เพราะด้วยราคาห้องชุดที่แพง เป็นต้น
ดร.วิชัย กล่าวถึงแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ว่า คาดการณ์การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ จำนวน 80,643 หน่วย ลดลงร้อยละ -12.1 โดยมีช่วงการคาดการณ์ระหว่างร้อยละ -23.2 ถึงร้อยละ -6.1 และคาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 83,062 หน่วยในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากปี 2566 โดยมีช่วงการคาดการณ์ระหว่างร้อยละ -7.3 ถึงร้อยละ 13.3
ขณะที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย คาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนพื้นที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศประมาณ 34,099,701 ตร.ม. ลดลงร้อยละ -12.6 โดยมีช่วงการคาดการณ์ระหว่าง 30,689,731 ถึง 38,191,665 ตร.ม. หรือเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนร้อยละ-21.4 ถึงร้อยละ -2.2
คาดการณ์จะมีหน่วยโอนที่อยู่อาศัยจำนวนประมาณ 336,062 หน่วย ลดลงร้อยละ-14.5 มูลค่าการโอนที่อยู่อาศัย ประมาณ 977,593 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -8.2
โดยคาดการณ์ว่าหน่วยโอนของที่อยู่อาศัยแนวราบประมาณ 251,635 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.9 และมีมูลค่าโอนที่อยู่อาศัยแนวราบประมาณ 728,092 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -6.2
หน่วยโอนห้องชุดประมาณ 84,427 หน่วย ลดลงร้อยละ -21.2 มีมูลค่าโอนประมาณ 249,501 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -13.5
สำหรับในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีหน่วยโอนที่อยู่อาศัยจำนวน ประมาณ 349,910 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 มีมูลค่าโอนที่อยู่อาศัยประมาณ 1,022,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 โดยมีช่วงการคาดการณ์ระหว่าง 920,457 ถึง 1,125,003 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนร้อยละ -5.8 ถึงร้อยละ 15.1