xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยปิดบวก +3.74 จุด รับมติเลือก "วันนอร์" นั่งประธานสภา จับตาลุ้นผลโหวตพรุ่งนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นไทยปิดตลาดปรับตัว +3.74 จุด โบรกฯ เผยตลาดรับลูก หลังก้าวไกล-เพื่อไทย ได้ข้อยุติผลการโหวตเลือกประธานสภาวันพรุ่งนี้ จับตาการจัดตั้งรัฐบาล ส.ว.โหวตเลือกนายก มองแนวต้าน 1,510-1,515 จุด แนวรับที่ 1,495 จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 3 ก.ค.2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +3.74 จุด หรือ +0.25% โดยปิดตลาดที่ 1,506.84 จุด มูลค่าซื้อขาย 32,732.05 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวเคลื่อนไหวแกว่งตัวไซด์เวย์ทั้งในแดนบวกและแดนลบ โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,509.15 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงจุดต่ำสุด 1,494.57 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 256 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 176 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 205 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -1,948.97 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +1,207.44 ล้านบาท ส่วน นักลงทุนในประเทศซื้อขายสุทธิกว่า +88.71 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +652.81 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,511.76 ล้านบาท ปิดที่ 107.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
2.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,319.21 ล้านบาท ปิดที่ 159.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
3.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,021.37 ล้านบาท ปิดที่ 33.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
4.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 957.26 ล้านบาท ปิดที่ 212.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
5.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 951.73 ล้านบาท ปิดที่ 131.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1. SCC ปิดที่326.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาทหรือ +1.24%
2.DELTA ปิดที่94.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาทหรือ 2.17%
3.KBANKปิดที่131.50บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาทหรือ 1.54%
4.PTTEP ปิดที่152.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาทหรือ 1.33%
5.JMT ปิดที่39.25 1.75บาท เพิ่มขึ้น บาทหรือ 4.67%

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่ 212.00 บาท ลดลง 2.00 บาทหรือ -0.93%
2.INTUCH ปิดที่ 72.50บาท ลดลง 1.50บาทหรือ 2.03%
3.CENTEL ปิดที่ 48.50บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 2.02%
4.BH ปิดที่225.00บาท ลดลง-1.00บาทหรือ 0.44%
5. EA ปิดที่ 56.25 บาท ลดลง 0.75 บาทหรือ 1.32%

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,046.23 จุด เพิ่มขึ้น 6.36 จุด หรือ 0.31% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 922.40 จุด เพิ่มขึ้น 3.12 จุด หรือ 0.34% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 461.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.17 จุด หรือ 0.47%

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวไซด์เวย์ วอลุ่มซื้อขายเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนรอความคืบหน้าการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 ก.ค. ขณะที่ภาพรวมการลงทุนภายนอกค่อนข้างสดใส ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นเฉลี่ย 1% ตลาดหุ้นยุโรปเปิดมาบวกเฉลี่ย 0.2% แต่บ้านเราขึ้นไปบวกได้ไม่มาก เพราะยังรอลุ้นประเด็นการเมืองในประเทศ

อย่างไรก็ตาม วันนี้เวลาประมาณ 20.00 น.พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนัดแถลงความชัดเจนตำแหน่งประธานสภาฯ มองว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่น่าจะตกลงกันได้ แม้มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอคนกลาง คือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเข้าชิงตำแหน่งประธานสภาฯ

"แนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ คาดว่าตลาดน่าจะตอบรับเชิงบวกจากการโหวตเลือกประธานสภา หลังจากนั้นน่าจะแกว่งไซด์เวย์และวอลุ่มซื้อขายยังคงเบาบางไปจนถึงวันโหวตนายกรัฐมนตรี คาดจะอยู่ในช่วงวันที่ 13-15 ก.ค.นี้ และระหว่างนี้ก็จะต้องติดตามหน้าตาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ และการแบ่งงานในกระทรวงต่างๆ โดยมองแนวต้านที่ 1,510-1,515 จุด และแนวรับที่ 1,495 จุด"

ทั้งนี้ในไตรมาส 3/66 ซึ่งเป็นช่วงจัดตั้งรัฐบาล ผลสำรวจมองตลาด Sideway เนื่องจากการเมืองยังมีความไม่แน่นอน แต่หลังจากนี้ตลาดค่อนข้างจะเอื้อต่อการฟื้นตัว ถ้าเกิดการจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น ไม่มีประเด็นที่ทำให้เกิดความกังวล โดยเฉพาะช่วงกลางเดือน ก.ค.การเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นและสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็คาดว่าตลาดจะตอบรับในเชิงบวก

อย่างไรก็ดี หากการจัดตั้งรัฐบาลเกิดพลิกขั้ว จะทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน ดังนั้น ตลาดอาจชะลอลงเพื่อรอดูความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการพลิกขั้ว และ อาจเกิดสภาวะ Overhang ในช่วงสั้นๆ

ขณะที่ นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์นักลงทุน เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนกว่า 25 บริษัทว่า ไตรมาส 3/66 จนถึงสิ้นปี 66 SET Index มีแนวโน้ม Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2/66 โดยแกว่งตัวในกรอบ 1,601-1,650 จุด และคาดว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,630 จุด ลดลง 77 จุด จากระดับที่คาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,707 จุด

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ให้ไว้ที่เฉลี่ย 93.21 บาท ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนอยู่ที่ 95.77 บาทต่อหุ้น และคาดการณ์ EPS Growth ของปี 66 อยู่ที่ 7.61%

ปัจจัยที่มีผลบวกต่อ SET Index คือ เศรษฐกิจในประเทศ โดยสมมติฐาน GDP ปี 66 คาดว่าเป็นบวกเฉลี่ย 3.38% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย.66) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานอยู่ที่ 3.50% ในขณะที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 80.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50%

ขณะที่ การจัดตั้งรัฐบาล หรือการเมืองในประเทศ รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา ซึ่งมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นในไตรมาส 3/66

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้เพิ่มเติมข้อเสนอแนะรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยเสนอให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นนโยบายกระตุ้นการลงทุนและช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ กระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ ขยายตลาดสินค้าส่งออก ถัดมา ควรเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และตามมาด้วย การออกนโยบายช่วยเหลือภาคประชน ได้แก่ ชะลอการเก็บภาษีหุ้น ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกมาตรการลดค่าครองชีพ แทนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และยกเลิกนโยบายแจกเงิน

นักวิเคราะห์ ยังได้แนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แบ่งเป็น

– เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 14.24%

– กองทุนตราสารหนี้ 22.83%

– หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 24.87%

– หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.83%

– กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 6.59%

– ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.43%

– อื่นๆ เช่น คริปโต 0.21%


ส่วนความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ และ กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำ กองทุนเทคโนโลยี กองทุนหุ้นจีน และเอเชีย จากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การแพทย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

1. ADVANC มองว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลดีต่อธุรกิจ

2. AOT โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

3. BBL โดยมองว่า มีความเชี่ยวชาญสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในตลาดนี้ สินเชื่อประเภทนี้แม้จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้น BBL มีสินเชื่อส่วนใหญ่คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว และมีเงินฝากประจำสัดส่วนสูง ซึ่งได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด ทั้งยังรองรับความเสี่ยงได้มาก จากสัดส่วนสำรองต่อ NPL ที่มีอยู่ถึง 243% สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 171% อยู่มาก

4. CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคเพิ่ม นักท่องเที่ยวฟื้นตัว

5. SCB มองว่าได้ประโยชน์จาก กนง.เปิดช่องขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลดีต่อหุ้นแบงก์โดยรวม ทั้งราคายัง Laggard กลุ่ม

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายรัฐบาลใหม่

นอกจากนี้ประเด็นการลงทุนในหุ้น IPO ในระยะนี้ความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลงไปค่อนข้างมาก แนะนำให้นักลงทุนศึกษารายละเอียดหุ้นในอดีตประกอบด้วย และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ เหตุการณ์จะทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น