หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กทยอยล่มจมเป็นใบไม้ร่วง นักลงทุนรายย่อยหมดตัวกันเหยียบแสนราย และมีแนวโน้มว่าจะมีหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กล้มตายตามมาอีกนับสิบบริษัท
ตั้งแต่หุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่งถูกสร้างภาพดูดีมาหลายปี ราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดในรอบปีที่ 2.98 บาท แต่หลังแผนการสร้างภาพปิดฉากลง ราคาหุ้นดิ่งลงจนล่าสุดเหลือเพียง 19 สตางค์ โดยไม่มีสัญญาณจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
ปิดสมุดทะเบียนวันที่ 15 มีนาคม 2566 มีนักลงทุนรายย่อยถือหุ้น MORE จำนวนทั้งสิ้น 14,432 ราย ซึ่งทั้งหมดน่าจะขาดทุนป่นปี้จากหุ้นตัวนี้
อวสานหุ้น MORE ยังไม่ทันจากหาย ข่าวฉาวโฉ่กรณีหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ก็เกิดขึ้นตามมา โดยบริษัทไม่ยอมส่งงบการเงินปี 2566 ตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด และเลื่อนแล้วเลื่อนอีก
ขณะที่กรรมการบริษัทยกทีมลาออก รวมทั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน จนถูกจับตาว่าบริษัทน่าจะซุกขยะไว้ใต้พรม และอาจมีปัญหาฐานะการเงิน รวมทั้งอาจมีการทุจริตภายในโดยไซฟ่อนผ่องถ่ายทรัพย์สินออกจาก STARK
ราคา STARK เคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 5.10 บาท เมื่อช่วงกลางปี 2565 แต่หลังจากนั้นถูกทุบขายจนราคารูดลงต่อเนื่อง โดยนักลงทุนทั่วไปไม่รู้สาเหตุ เพราะผลประกอบการบริษัทงวด 9 เดือนแรกปี 2565 ยังดีอยู่ กำไรเติบโตต่อเนื่อง
แต่อาจมีอินไซเดอร์ หรือคนที่รู้ข้อมูลภายใน รู้ว่าบริษัทฯมีปัญหาฐานะการเงินจึงชิงขายหุ้นออกมาก่อน จนราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ 2.38 บาท ก่อนตลาดหลักทรัพย์จะแขวนป้าย SP พักการซื้อขายเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา
ถ้า STARK เปิดการซื้อขายใหม่ นักลงทุนคาดว่าหุ้นจะถูกถล่มขายจนไม่เหลือซาก ราคาอาจทรุดติดฟลอร์ต่อเนื่องหลายวัน
STARK ใช้เวลาประมาณ 5 ปี สร้างภาพจนนักลงทุนตายใจ ให้ความเชื่อถือ ขนเงินเข้าไปลงทุน ทั้งนักลงทุนต่างชาติ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศหลายแห่ง กองทุนรวมหลายกองทุน โดยมีนักลงทุนรายย่อยตามแห่เข้าไปถือหุ้นจำนวน 9,613 ราย
นักลงทุนทั้งหมดที่ใส่เงินไปในหุ้น STARK กำลังเผชิญหายนะครั้งใหญ่ กลายเป็นเหยื่อของหุ้นที่ถูกสร้างภาพมากินเงินนักลงทุน เหมือนหุ้น “ตกทอง” และไม่รู้ว่าจะหาคนที่เป็นต้นตอก่อโศกนาฏกรรมกับประชาชนผู้ลงทุนมาลงโทษได้หรือไม่
และกรณีล่าสุด หุ้นบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER หุ้นในกลุ่มบริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART
หุ้นกลุ่ม JMART ใช้เวลาสร้างภาพจนดูดีอยู่หลายปี มีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่แห่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS โดยทุ่มเงินเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ซื้อหุ้นกลุ่ม JMART
แต่หุ้นกลุ่ม JMART กำลังกลับบ้านเก่า ราคาดิ่งลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SINGER ซึ่งกังวลกันว่าอาจมีปัญหาหนี้เสีย และอาจมีอินไซเดอร์ชิงเทขายทิ้งจนราคาทรุดฮวบ จากเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 55 บาท ล่าสุดเหลือ 13.10 บาท
นักลงทุนหลายหมื่นรายที่หลงเข้าไปซื้อหุ้นกลุ่ม JMART ต้องตายหมู่ รวมทั้ง BTS ที่บาดเจ็บหนัก ทั้งจากหุ้นกลุ่ม JMART และหุ้น STARK
ยังมีหุ้นเล็กตัวร้ายที่สร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อถือแนวโน้มสดใสของบริษัท ออกข่าวกระตุ้นราคาหุ้นถี่ยิบ และมีธุรกรรมเล่นแร่แปรธาตุ ซื้อขายทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง
จุดจบของนักลงทุนที่ตามแห่เก็งกำไรหุ้นตัวเล็กคืบคลานเข้ามาแล้ว และในที่สุดอาจพบกับหายนะเช่นเดียวกับหุ้น MORE หุ้น STARK หุ้นกลุ่ม JMART หรือหุ้นตัวเล็กตัวร้ายอื่นอีกนับร้อยบริษัทที่ราคาดิ่งลงเหวลึก
นักลงทุนอีกจำนวนนับล้านคนยัง “ติดกับ” หุ้นตัวร้ายกันอยู่ แบกหุ้นต้นทุนสูงไว้ และทำใจตัดขายขาดทุนไม่ไหว ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่า สักวันหุ้นจะฟื้น หรือสักวันเจ้ามือจะกลับมาลากหุ้นรอบใหม่ ซึ่งไม่มีวันเกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
หุ้นตัวร้ายจะไร้อนาคต บริษัทอยู่ในสภาพตายซาก เพราะทรัพย์สินถูกเล่นแปรธาตุ ถูกผ่องถ่ายจนไม่เหลืออะไร โดยเจ้ามือจะกอบโกยทุกอย่าง ก่อนขายหุ้นใส่นักลงทุนรายย่อยให้แบกรับแทน
ยังไม่สายเกินไปสำหรับการโละทิ้งหุ้นเน่า หุ้นตัวเล็กตัวร้ายอออกจากพอร์ต ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงเหว
วันนี้ต้องเปิดพอร์ตดูว่ามีหุ้นตัวเล็กตัวร้ายอยู่หรือไม่ และรีบตัดสินใจขายทิ้งเสีย
เพราะอวสานหุ้นตัวเล็กตัวร้ายเปิดฉากแล้ว ใครที่ขายเร็วกว่า ถือว่าโชคดีที่ขายก่อน ขายก่อนที่บริษัทจะออกลาย ขายก่อนที่ไส้ในเน่าของหุ้นตัวเล็กตัวร้ายจะถูกเปิดโปงออกมา
ถ้ารอจนถึงอวสานหุ้นตัวเล็กตัวร้ายจะขายหนีตายไม่ทัน เหมือนนักลงทุนที่หลงไปเป็นเหยื่อหุ้น MORE หุ้น STARK และหุ้น SINGER