SCB CIO ประเมินหลังเกิดปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพสถาบันการเงิน คาดว่าธนาคารกลางหลักจะเริ่มส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยภายในไตรมาส 2 และเชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่อสถาบันการเงินจนลุกลามกลายเป็นวิกฤตทั้งระบบยังมีค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นปัญหาเฉพาะตัว และ Fed ได้ออกมาจัดการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ฝากเงินและช่วยสภาพคล่องให้ธนาคารพาณิชย์ได้ค่อนข้างเร็ว แนะหาจังหวะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง โดยเชื่อว่าผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 รวมทั้งหุ้นจีน A-share และหุ้นไทยที่ Valuation น่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า
นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่าจากความเสี่ยงเสถียรภาพสถาบันการเงินซึ่งเป็นผลมาจากประเด็นความกังวลการแห่ถอนเงิน (Bank run) ในสหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์นั้น จะส่งผลให้ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 โดยในกรณีของ Fed จะนำประเด็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นในระบบการเงิน (แม้จะมีการอุดรอยร้าวนี้ไปบ้างแล้ว) มาเป็นปัจจัยที่ใช้ตัดสินใจ เพราะในการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed นอกจากประเด็นเงินเฟ้อและการจ้างงานแล้ว Fed ต้องพิจารณาเสถียรภาพระบบการเงิน สถาบันการเงิน ระบบการชำระเงินและการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ทำให้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 25 bps. ในการประชุมเดือน พ.ค. โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal rate) จะอยู่ที่ 5.00-5.25% และคงดอกเบี้ยไว้ระดับนี้จนถึงปลายปี 2566
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ประเมินว่า ยังเป็นโอกาสดีที่จะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง โดยเราเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ชะลอลง (จากราคาพลังงานที่ลดลง) รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง (จากผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์) จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
นอกจากนี้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย (Asian REITs) ยังน่าสนใจ จากการเปิดเมืองเปิดประเทศของจีนและอาเซียน ส่งผลบวกต่ออัตราการเช่าและค่าเช่า (Occupancy rates and rental rates) ในอนาคตของ REITs ทั้งในกลุ่มโรงแรม และพื้นที่เชิงพาณิชย์ (industrial and warehouse) โดยเฉพาะในไทยและสิงคโปร์ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยเฉพาะในกรณีของไทยเริ่มมีจำกัด ทำให้มูลค่าของ REITs ในไทยและสิงคโปร์น่าจะถูกกำหนดด้วยอัตราการเช่าและค่าเช่าที่ฟื้นตัวเป็นหลัก
ส่วนการลงทุนในหุ้น แม้มูลค่าเมื่อพิจารณาจากราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) มีความน่าสนใจมากขึ้นแต่ยังมีแรงกดดันจากทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูง และแนวโน้มกำไรเติบโตติดลบ จึงควรระมัดระวังกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ที่ออกมาล่าสุดจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ สะท้อน 1) การหดตัวของอัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนทำให้เกิดความเสี่ยง กำไรเมื่อเทียบรายปี หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (earning recession) และ 2) การลดลงของจำนวนบริษัทที่มีกำไรดีกว่าคาด (earnings’ positive surprises)
ทั้งนี้ SCB CIO ได้ปรับมุมมองหุ้นเวียดนามลงเป็น Slightly Negative (ทยอยขาย) โดยเวียดนามยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการลงทุนระยะยาว ส่วนสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ เรามองว่าจะไม่ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความกังวลบนการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอสังหาฯ อาจส่งผลให้มี sentiment เชิงลบต่อธุรกิจในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม
ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของเวียดนามโดยเฉพาะประเด็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังจะเป็นประเด็นกดดันต่อไปในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า โดยเรายังแนะนำให้เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน (A-share: Positive; H-share Slightly Positive) และตลาดหุ้นไทย (Slightly Positive) ที่ Valuation น่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า