xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.62 ผันผวนรอผลประชุม ECB

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (16 มี.ค.) ที่ระดับ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.70 บาท/ดอลลาร์ โดยประเมินว่า แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าในช่วงคืนที่ผ่านมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แต่ทว่า เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำซึ่งช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทลง ทำให้โดยรวมเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงไปมาก

อย่างไรก็ดี เรามองว่าในวันนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนหนัก โดยในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เงินบาทมีโอกาสเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ที่อาจส่งผลต่อเนื่องให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝั่งขายสุทธิสินทรัพย์ในฝั่งไทยได้ อย่างไรก็ดี เรามองว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้รุนแรงมาก เนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ล่าสุด มีลักษณะ panic sell และหากพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงที่ปัญหาดังกล่าวจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตยังมีโอกาสเกิดไม่มากนัก และเป็นสิ่งที่ทางการสหรัฐฯ และยุโรปสามารถเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้

อนึ่ง เรามองว่าควรจับตาความผันผวนในตลาดช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุมของ ECB อย่างใกล้ชิด โดยเรามองว่าหาก ECB แสดงความมั่นใจว่าวิกฤตในภาคธนาคารจะไม่เกิดขึ้น และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ +0.50% เราอาจเห็นการรีบาวนด์แข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ซึ่งอาจจะหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้ แต่หาก ECB ขึ้นดอกเบี้ยเพียง +0.25% เงินยูโรอาจไม่ได้รีบาวนด์แข็งค่าขึ้นไปมาก และในกรณีที่ ECB ไม่ขึ้นดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ยลง (ซึ่งเรามองว่าโอกาสเกิดกรณีนี้ ต่ำมาก) ตลาดจะตีความว่าปัญหาระบบธนาคารยุโรปมีความน่ากังวลจริงและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจเห็นแรงขายสินทรัพย์ฝั่งยุโรปเพิ่มเติม กดดันให้เงินยูโรอ่อนค่าลงชัดเจนได้ไม่ยาก โดยในกรณีนี้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านแถว 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ได้

ขณะที่ความวิตกต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ และธนาคารยุโรปยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างกลับมาเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ อีกครั้ง (ซึ่งเรามองว่า เป็นการขายแบบ panic sell จากความวิตกกังวลมากเกินไป) ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง -0.70% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวนด์ขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่สหรัฐฯ เช่น Alphabet +2.3% Microsoft +1.8% หลังให้ผู้เล่นในตลาดมองว่าเฟดมีโอกาสที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ และมองว่าเฟดมีโอกาสจะกลับมาลดดอกเบี้ยลงได้ราว -0.75% จนแตะระดับ 4.00% ในการประชุมเดือนธันวาคม

ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 กลับมาดิ่งลงแรงกว่า -2.92% ท่ามกลางความวิตกของผู้เล่นในตลาดต่อปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปในลักษณะ panic sell (UBS -8.7% Intesa Sanpaolo -6.9%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -8.3% TotalEnergies -5.6%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงต่อเนื่อง (WTI หลุดระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินท่ามกลางความวิตกกังวลต่อปัญหาในภาคธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้ทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลงสู่ระดับ 3.45% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยิลด์ควรมองเป็นโอกาสในการทยอยขายทำกำไรสถานะถือบอนด์มากกว่าไล่ราคาซื้อ เนื่องจากเราประเมินว่าปัญหาในภาคธนาคารสหรัฐฯ และยุโรปจะไม่ลุกลามและบานปลายกลายเป็นวิกฤต อีกทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในฝั่งสหรัฐฯ มีความต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในฝั่งยุโรป กับธนาคาร Credit Suisse แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นใน 2 ภูมิภาคมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ เป็นวิกฤตศรัทธาต่อระบบธนาคาร ซึ่งสถานการณ์สามารถทยอยคลี่คลายลงได้ หากทางการ หรือธนาคารกลางสามารถฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้ ดังนั้น เราจึงมองว่า บรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด และ ECB อาจให้น้ำหนักปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง (และชะลอลงช้า) มากกว่าวิกฤตศรัทธาในภาคธนาคาร ทำให้การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจะยังไม่จบ และบอนด์ยิลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับปัจจุบันได้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.6 จุด หลังความวิตกกังวลต่อระบบธนาคารล่าสุด มีจุดสนใจที่ฝั่งธนาคารยุโรป ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้กดดันให้เงินยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.058 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามการปรับลดโอกาส ECB ขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ของผู้เล่นในตลาด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยต่อเนื่อง กอปรกับผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสที่บรรดาธนาคารกลางหลักจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,928 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวมีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมาเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าขึ้นพอสมควร

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราคาดว่า ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ต่อเนื่อง +0.50% สู่ระดับ 3.00% ได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนยังอยู่ในระดับที่สูงถึง 8.5% เมื่อเทียบกับเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ของ ECB รวมถึง ถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบธนาคารยุโรป ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าธนาคารสำคัญของยุโรปมีความเสี่ยงที่จะปิดตัวลง

ส่วนในฝั่งเอเชีย จะมีผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ให้รอติดตาม โดยเราประเมินว่า BI จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% ต่อ หลัง BI อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

นอกจากการประชุมของธนาคารกลางดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรปต่อเนื่อง ซึ่งความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารอาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นนี้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น