ราคาน้ำมันร่วงลงมากกว่า 4 ดอลลาร์ในวันพุธ (15 มี.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปีกว่า ความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธนาคารเครดิตสวิส กัดเซาะความหวังอุปสงค์พลังงานจีนฟื้นตัว ปัจจัยนี้เองฉุดวอลล์สตรีทปิดลบแรง และทองคำแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 3.72 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 3.76 ดอลลาร์ ปิดที่ 73.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ก่อนหน้านี้ น้ำมันดิบทั้ง 2 สัญญาขยับลงมากกว่า 3 ดอลลาร์เช่นกัน ในวันอังคาร (14 มี.ค.) จากแรงกดดันความกังวลว่าการพังครืนของซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (SVB) และธนาคารอื่นๆ ในสหรัฐฯ อาจจุดชนวนวิกฤตการเงินที่อาจกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงาน
สัญญาณตลาดกำลังกลับสู่ภาวะเสถียรเลือนหายไป หลังจากผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของธนาคารเครดิตสวิส บอกว่าไม่สามารถมอบความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินแห่งนี้เพิ่มเติม ฉุดให้หุ้นของธนาคารและตลาดทุนยุโรปอื่นๆ ดิ่งลง
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกฉุดจากข้อมูลคลังปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ หลังพบว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของอเมริกาเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว จากข้อมูลของรัฐบาล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล
ราคาทองคำในวันพุธ (15 มี.ค.) ดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ความปั่นป่วนที่ธนาคารเครดิตสวิส โหมกระพือความกังวลรอบใหม่ที่มีต่อภาคธนาคาร โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 20.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,931.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพุธ (15 มี.ค.) ฟื้นตัวในช่วงท้าย แต่ดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี ก็ยังปิดลบ ปัญหาต่างๆ ที่ธนาคารเครดิตสวิส ก่อความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับวิกฤตภาคธนาคาร
ดาวโจนส์ ลดลง 280.83 จุด (0.87 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 31,874.57 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 27.36 จุด (0.70 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,891.93 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 5.90 จุด (0.05 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,434.05 จุด
หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงในการซื้อขายวันพุธ (15 มี.ค.) นำโดยหุ้นของเครดิต สวิส ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของทางธนาคาร
นักลงทุนพากันเทขายหุ้นเครดิต สวิส หลังธนาคารซาอุดี เนชั่นแนล แบงก์ (Saudi National Bank) หรือ SNB ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเครดิต สวิส ประกาศว่า SNB ไม่สามารถเพิ่มความช่วยเหลือทางการเงินต่อเครดิต สวิส เนื่องจากจะทำให้ SNB ถือหุ้นในเครดิต สวิสมากกว่า 10% ซึ่งจะเป็นการทำผิดกฎระเบียบธนาคาร
ก่อนหน้านี้ เครดิต สวิส เปิดเผยว่า ธนาคารขาดทุนสุทธิ 1.4 พันล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.32 พันล้านฟรังก์สวิส ส่งผลให้ยอดขาดทุนตลอดทั้งปีอยู่ที่ 7.3 พันล้านฟรังก์สวิส
นอกจากนี้ ลูกค้าแห่ถอนเงินฝากมากกว่า 1.10 แสนล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับข่าวอื้อฉาวของธนาคารในการทำผิดกฎระเบียบ และความเสี่ยงในการถูกดำเนินคดี
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเครดิต สวิส ก่อแรงกดดันเพิ่มเติมแก่ภาคธนาคารสหรัฐฯ หลังจากเจ้าหน้าที่อเมริกาเพิ่งปลดเปลื้องความกังวลแก่นักลงทุนด้วยมาตรการฉุกเฉินต่างๆ ควบคุมวิกฤตแผ่ลามตามหลังการพังครืนของธนาคารเอสวีบี และซิกเนเจอร์แบงค์
นักลงทุนบางส่วนเชื่อว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐฯ คือต้นตอรอยร้าวในระบบการเงิน
(ที่มา : รอยเตอร์)
