ราคาน้ำมันขยับลงกว่า 3 ดอลลาร์ ในวันอังคาร (14 มี.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 9 สัปดาห์ หลังการพังครืนของธนาคารสหรัฐฯ จุดชนวนความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับวิกฤตการเงินที่อาจกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงาน อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งวอลล์สตรีทฟื้นตัว และทองคำปิดลบจากตัวเลขเงินเฟ้อของอเมริกาที่ชะลอตัวลง ก่อความเป็นไปได้ว่าเฟดอาจเคลื่อนไหวปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 3.47 ดอลลาร์ ปิดที่ 71.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 3.32 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คลื่นความช็อกจากการล้มครืนของซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (SVB) โหมกระพือความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากบรรดานักลงทุนกังวลต่อสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินบางแห่ง แม้มีคำรับประกันมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และเหล่าผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกคนอื่นๆ
เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกาต้องเผชิญกับราคาค่าเช่าและอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพราะมันทำให้ความพยายามต่อสู้กับเงินเฟ้อของพวกเขาต้องเจอปัญหาแทรกซ้อนจากการพังครืนของสถาบันการเงินระดับท้องถิ่น 2 แห่ง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ จากระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวลงเล็กน้อยในดัชนีราคาผู้บริโภค กระตุ้นให้นักลงทุนกะเก็งถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแค่เพียงเล็กน้อยในเดือนมีนาคม
ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงของสหรัฐฯ ฉุดให้ทองคำปิดลบเล็กน้อยในวันอังคาร (14 มี.ค.) หลังจากพุ่งแรงหนึ่งวันก่อนหน้านี้ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 5.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,910.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวในวันอังคาร (14 มี.ค.) หลังข้อมูลเงินเฟ้อเป็นไปตามที่คาดการณ์ ขณะที่นักลงทุนรู้สึกคลายกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในภาคธนาคารของอเมริกา
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 336.26 จุด (1.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 32,155.40 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 63.53 จุด (1.65 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,919.29 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 239.31 จุด (2.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,428.15 จุด
นักลงทุนคลายกังวลต่อความเป็นไปได้ของการเกิดสถานการณ์ลุกลามบานลายไปสถาบันการเงินอื่นๆ ตามหลังการพังครืนของซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน และบรรดาผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก ประกาศว่าวิกฤตจะอยู่ภายใต้การควบคุม
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ โดยธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB ทะยานขึ้นเกือบ 50% ทั้งนี้ FRB ส่งจดหมายถึงลูกค้ายืนยันว่าธนาคารยังคงมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง และสูงกว่าระดับที่กฎหมายกำหนดไว้
หุ้น FRB ดิ่งลงกว่า 70% เมื่อวันจันทร์ (13 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปิดกิจการของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB) ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าการล่มสลายของ SVB และ SB จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร และลุกลามไปธนาคารประจำภูมิภาคของสหรัฐฯ เช่น FRB แม้ว่า FRB มีการดำเนินนโยบายแตกต่างจาก SVB ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นการปล่อยกู้ให้ธุรกิจสตาร์ทอัปในกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ SB เป็นธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี
ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจอ่อนตัวลง ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับสถานะของธนาคารท้องถิ่น เพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงแค่ 0.25% ในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน 2 วันในสัปดาห์หน้า สิ้นสุดวันพุธ (22 มี.ค.)
(ที่มา : รอยเตอร์)