xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.62 ตลาดผันผวนจับตาฟันด์โฟลว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย 
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.25-35.25 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.70 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (13 มี.ค.) ที่ระดับ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 35.02 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูง ท่ามกลางความกังวลความเสี่ยงต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ หลังธนาคาร SVB ถูกสั่งปิดกิจการ และควรระวังช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% หลังธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ถูกสั่งปิดจากปัญหาสภาพคล่อง และรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ไม่ได้ดีกว่าคาดชัดเจน
โดยแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่ามีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะชะลอการขายสินทรัพย์ไทย หรือกลับมาเทขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้นไทยมากขึ้น และควรระวังเงินบาทอาจผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันอังคารนี้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง หลังทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นอย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจได้รับความสนใจจากผู้เล่นในตลาดมากกว่าเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลปัญหาธนาคาร SVB ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจนและต้องระวังการกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วของเงินดอลลาร์ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด

เราคงคำแนะนำว่าในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ - ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลกระทบจากการปิดตัวลงของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ว่าจะส่งผลต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ อย่างไร และทางการสหรัฐฯ รวมถึงเฟดจะมีวิธีการรับมืออย่างไร เนื่องจากการปิดตัวลงของ SVB จากปัญหาสภาพคล่องถือว่าเป็นการสั่งปิดธนาคารที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานในสัปดาห์ก่อนหน้าที่ออกมาผสมผสานได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดโอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับเริ่มมองว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดไม่เกิน 5.50% ก่อนที่จะทยอยลดลงสู่ระดับ 5.00% ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี เรามองว่าควรรอประเมินสถานการณ์โดยรวม และรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ยังคงอยู่ที่ระดับ +0.4%m/m หรือคิดเป็น +6.0%y/y และ +5.5%y/y ตามลำดับ ซึ่งเราประเมินว่า หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือน้อยกว่าคาด เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% แต่การขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับ 5.50% ยังมีความเป็นไปได้สูง แต่ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อ CPI เร่งตัวขึ้นหรืออกมาสูงกว่าคาด เช่น +0.5%m/m หรือมากกว่านั้นอาจเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ และในกรณีดังกล่าว เราคาดว่ามีโอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ บ้าง เพื่อสะท้อนการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาด (Repricing) ต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และนอกเหนือจากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Sentiment) โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งหากยอดค้าปลีก และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงสะท้อนแนวโน้มการบริโภคของสหรัฐฯ ที่สดใสอาจทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดได้

▪ ฝั่งยุโรป - ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราคาดว่า ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ต่อเนื่อง +0.50% สู่ระดับ 3.00% ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ของ ECB รวมถึงถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ซี่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB ยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ +0.50% ในการประชุมครั้งถัดไป ก่อนที่จะทยอยปรับขึ้นครั้งละ +0.25% จนแตะระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนยังอยู่ในระดับสูงเกินกว่าเป้าหมาย 2% ไปมาก และเศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัวได้ดี

▪ ฝั่งเอเชีย - ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดมองว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศ สะท้อนผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะขยายตัวกว่า +3.4%y/y และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ก็จะขยายตัวราว +2.6%y/y สอดคล้องกับรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะช่วยหนุนให้ยอดการส่งออก (Exports) ของญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นราว +7%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะขยายตัวกว่า +12%y/y ตามความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ในส่วนผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) เราประเมินว่า BI จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% ต่อ หลัง BI อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น