ปี 2565 มีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 100% รวมทั้งสิ้น 16 บริษัท ลดลงจากปี 2564 ซึ่งมีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่า 100% จำนวนถึง 152 บริษัท สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะตลาดหุ้นปีที่ผ่านมา ลดความร้อนแรงลงอย่างมากเมื่อเทียบปี 2564
และเมื่อเทียบตัวต่อตัว ปี 2564 ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 4 อันดับแรกพุ่งทะยานร้อนแรงกว่ามาก เพราะแต่ละตัวปรับขึ้นมากกว่า 1,000% ขณะที่ปี 2565 ไม่มีหุ้นตัวใดพุ่งขึ้นเกิน 1,000%
ปี 2564 หุ้นบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ครองความเป็นแชมป์หุ้นร้อน จากราคาปิดสิ้นปี 2563 ที่ 1.93 บาท พุ่งขึ้นมาปิดที่ 131 บาท เพิ่มขึ้น 129.07 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6,688%
หุ้นบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD แรงมาเป็นอันดับ 2 จากราคาปิดที่ 63 สตางค์ในสิ้นปี 2563 ขึ้นมาปิดที่ 19.40 บาทในสิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 18.77 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2,979%
อันดับ 3 หุ้นบริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSG จากราคาปิด 4 สตางค์เมื่อสิ้นปี 2563 ขึ้นมาปิดที่ 58 สตางค์ในสิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 54 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 1,350%
และหุ้นบริษัท สบายเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY จากราคาปิด 1.81 บาท ในสิ้นปี 2563 ขึ้นมาปิดที่ 24.70 บาทในสิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 22.26 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1,265%
สำหรับปี 2565 หุ้นบริษัท คาสเซ่อร์พีคโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPH ครองแชมป์หุ้นร้อนแรงที่สุด จากราคาปิดสิ้นปี 2564 ที่ 3.82 บาท ขึ้นมาปิดที่ 30.75 บาทในสิ้นปี 2565 เพิ่มขึ้น 26.93 บาท หรือเพิ่มขึ้น 704.97%
อันดับ 2 หุ้นบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ INSURE จากราคาปิด 37 บาท ในสิ้นปี 2564 ขึ้นมาปิดที่ 277 บาทในสิ้นปี 2565 เพิ่มขึ้น 240 บาท หรือเพิ่มขึ้น 513.51%
อันดับ 3 หุ้นบริษัท ทีม คอมซัลติ้ง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG จากราคาปิด 3.04 บาท เมื่อสิ้นปี 2564 ขึ้นมาปิดที่ 13 บาท เมื่อสิ้นปี 2565 เพิ่มขึ้น 9.96 บาท หรือเพิ่มขึ้น 327.63%
และอันดับ 4 หุ้นบริษัท ไฮโดรเท็ค จำกัด (มหาชน) หรือ HYDRO จากราคาปิด 36 สตางค์ เมื่อสิ้นปี 2564 ขึ้นมาปิดที่ 97 สตางค์ในสิ้นปี 2565 เพิ่มขึ้น 61 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 169.44%
CPH ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานโดยตรง ผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโตก้าวกระโดด และเติบโตต่อเนื่องมา 3 ไตรมาส รวมงวด 9 เดือนแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 250.30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 9.72 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPH ปี 2565 เคยทะยานขึ้นสร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 53 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงมาปิดที่ 30.75 บาทในสิ้นปี
ส่วนหุ้นที่ยอดแย่ปี 2565 ราคาดิ่งลงมากที่สุดอับดับ 1 คือ หุ้นบริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL จากราคาปิดที่ 2 บาท เมื่อสิ้นปี 2564 ลดลงมาปิดที่ 34 สตางค์ในสิ้นปี 2565 ลดลง 1.66 สตางค์หรือลดลง 83%
รองลงมาคือหุ้น บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK ซึ่งเจอผลกระทบจากการรับประกันโควิด จนไม่มีเงินจ่ายค่าสินไหมทดแทนผู้ทำประกัน จากราคาปิด 22.80 บาท เมื่อสิ้นปี 2564 ลงมาปิดที่ 4.32 บาท ลดลง 18.48 บาท หรือลดลง 81.05%
และหุ้นยอดแย่อันดับ 3 คือ หุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่งเป็นหุ้นที่ตกเป็นข่าวฉาวที่สุดในปี 2565 จากการซื้อขายที่เข้าข่ายโยนรายการซื้อขายหุ้น เพื่อสูบเงินจากโบรกเกอร์
ราคาปิดหุ้น MORE สิ้นปี 2564 ที่ 1.80 บาท ลงมาปิดที่ 42 สตางค์ในปี 2565 ลดลง 1.38 สตางค์ หรือลดลง 76.67%
ปีที่ผ่านมา แม้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นจะไม่ถึง 1% โดยดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 11 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีปิดปี 2564 แต่ถ้าเลือกหุ้นถูกตัวก็รวยได้เหมือนกัน เช่นหุ้น CPH หรือ INSURE
เช่นเดียวกัน ถ้าเลือกหุ้นผิดตัวต้องเจ็บและจน เช่น หุ้น EFORL หุ้น SMK หรือหุ้น MORE
ปีนี้หุ้นไม่ได้สดใสนัก ประมาณการเป้าหมายที่โบรกเกอร์ทำนายไว้ ปลายปีจะอยู่ที่ประมาณ 1741 จุด เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 5% จากปี 2565 โอกาสกำไรจากตลาดหุ้นจึงไม่เปิดกว้างนัก
แต่ทุกคนมีโอกาสตักตวงความร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้เหมือนกัน เพราะทุกปีจะมีหุ้นที่ร้อนแรงจัด ราคาพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
ขอเพียงให้ตาดีๆ เลือกหุ้นให้ถูกตัวเท่านั้น มีสิทธิเป็นเศรษฐีหุ้นคนใหม่ปี 66