ตลาดหุ้นปิดฉากปี 2565 อย่างงาม ดัชนีหุ้นพุ่งทะลุเป้าหมาย 1,650 จุดตามที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทำนายไว้ นักลงทุนต่างชาติไล่ซื้อหุ้นฝุ่นตลบ ผลักดันให้หุ้นเขียวขจีตลอดสัปดาห์ส่งท้ายปีเก่า
เล่นหุ้นมา 1 ปี สัปดาห์สุดท้ายนี่แหละที่คึกคักสุดขีด จากดัชนีที่ทำท่าร่อแร่ ยืนระดับ 1,616 จุด และลุ้นระทึกว่าจะหลุดแนวรับ 1,600 จุดหรือไม่ แต่ 5 วันทำการ ดัชนีวิ่งขึ้นทุกวัน บวกโดยรวมประมาณ 46 จุด ก่อนจะปิดสิ้นปีที่ 1,668.66 จุด
เพิ่มขึ้นประมาณ 11 จุด เมื่อเทียบกับจุดปิดสิ้นปี 2564 ที่ระดับ 1,657 จุด ซึ่งแม้ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นปี 2565 จะน้อยนิดถึง 1% แต่การที่หุ้นพลิกกลับมาบวกได้ นักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะพอใจ
เพราะปี 65 นี้เจอข่าวร้ายๆ ผลกระทบหนักๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครน และกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกจนต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยเฉพาะดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
หุ้นสัปดาห์ส่งท้ายที่ร้อนจัดส่วนหนึ่งเกิดจากแรงซื้อของกองทุน SSF ตามด้วยข่าวดีจีนประกาศเปิดประเทศเร็วกว่ากำหนด และคาดว่าการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่แรงขับเคลื่อนตลาดหุ้นที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ นักลงทุนต่างชาติที่กลับไม่ไล่ช้อนซื้อหุ้น โดยซื้อหนักๆ ทุกวัน
ตลอด 5 วันทำการ ต่างชาติขายวันจันทร์เพียงวันเดียว 34.94 ล้านบาท หลังจากนั้นโหมซื้อมาตลอด รวมยอดซื้อสุทธิ 19,558.80 ล้านบาท
ปี 2565 เป็นปีแรกในรอบ 5 ปีที่ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น โดยมียอดซื้อหุ้นสุทธิสะสมรวม 202,694.36 ล้านบาท
การที่ต่างชาติกลับมาไล่หุ้นน่าจะเป็นเพราะประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นปีหน้าสดใส จึงเข้ามาไล่เก็บหุ้นตุนไว้ โดยแรงซื้อของต่างชาติอาจไหลเข้ามาต่อเนื่องถึงเดือนมกราคมนี้ ซึ่งหมายถึงอาจเกิด JANUARY เอฟเฟกต์ หรือภาวะหุ้นขึ้นในเดือนมกราคม
ถ้าต้อนรับศักราชใหม่ปี 2566 หุ้นเดินหน้าต่อ ดัชนีคงตีฝ่าขึ้นไปยืนเหนือ 1,700 จุดได้
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองแนวโน้มหุ้นปีนี้สดใส หลายแห่งประเมินเป้าหมายหุ้นปลายปีที่ระดับ 1,800 จุดเศษ โดยให้น้ำหนักของการฟื้นตัวธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น รวมทั้งการไหลกลับต่อเนื่องของเงินทุนต่างชาติ
แต่หุ้นปี 66 อาจไม่สวยหรูเสียทีเดียว เพราะมีหลายปัจจัยลบที่อาจกระทบจนตลาดหุ้นเกิดความผันผวนเช่นเดียวกับปี 2565 ได้
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังไม่ปิดฉาก ราคาน้ำมันอาจปรับตัวขึ้นอีก และกดดันปัญหาเงินเฟ้อ จนสหรัฐฯ จำเป็นต้องขยับดอกเบี้ย
ส่วนนักลงทุนต่างชาติไม่มีหลักประกันว่าจะซื้อหุ้นต่อเนื่องเหมือนปีที่ผ่านมา ซึ่งหากต่างชาติชะลอการลงทุน ดัชนีจะขาดแรงหนุนให้ปรับตัวขึ้นต่อ
นอกจากนั้น การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดพร้อมปะทุขึ้นตอดเวลา กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และยังมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยอีกด้วย ยังไม่นับรวมผลกระทบจากการเก็บภาษีขายหุ้นอัตรา 0.055% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศใช้ต้นเดือนเมษายนนี้ และฉุดให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นทรุดฮวบลง
ปีนี้การทำมาหากินในตลาดหุ้นอาจฝืดเคืองอยู่ นักลงทุนจะต้องวางกลยุทธ์ให้ดี ทำการบ้านให้หนัก ติดตามข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และต้องประเมินทิศทางการลงทุนให้ดี
มุมมองในเชิงลบสำหรับตลาดหุ้นปี 2566 มีเหมือนกัน ไม่ได้มีเฉพาะมุมมองโลกสวยเพียงด้านเดียว
ประเมินทิศทางหุ้นผิด ตัดสินใจพลาด เจ็บตัวจากตลาดหุ้นปี 2566 ได้เหมือนกัน