เอเซีย พลัส คงเป้าตลาดหุ้นปลายปีนี้ที่ 1,730 จุด รับมาตรการกระตุ้น ศก.ปลายปี ไฮซีซันท่องเที่ยว ระบุมี Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยมี 3 ปัจจัยหนุน จากเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย หุ้นจีนรีบาวนดฺแรง และเงินต่างชาติยังซื้อสุทธิ หนุนหุ้นไทยเดินหน้าต่อ แนะนำหุ้น Domestic Consumption ให้น้ำหนักหุ้นไทยที่ 35% ของพอร์ต
ASPS คงเป้า SET ปีนี้ที่ 1,730 จุด เป็นจังหวะสะสมหุ้น
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเชีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายปลายปีนี้ที่ 1,730 จุด โดยแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงนี้ว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยยังดูน่าสนใจ และอยู่ในโซนสะสมหุ้น ทั้งในมุม P/E17 เท่ากว่าๆ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 19.5 เท่า และ PBV ต่ำเพียง 1.5 เท่าลงมาในบริเวณใกล้กับ -1SD ที่ 1.66 เท่า พร้อมกับแรงกดดันต่างๆ ที่ตลาดซึมซับไปในระดับหนึ่งแล้ว น่าจะเป็นจังหวะในการเข้าสะสมหุ้นอีกครั้งได้
ทั้งนี้ ช่วงที่เหลือของปีคาดหวังแพกเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือ โดย ASPS คงน้ำหนักหุ้นไทยไว้ที่ 35% ของพอร์ตการลงทุน
"วัฏจักรความกลัวค่อยๆ อ่อนแรงลง ทั้งจากเงินเฟ้อขาลงชัดเจน ทั้งในสหรัฐฯ และไทย ซึ่งคาดว่ามีแนวโน้มลดลงจนอยู่ระดับต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดที่ 5% ในกลางปี 66 เช่นเดียวกับเงินเฟ้อไทยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในปีหน้า ด้านดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้จุดที่เหมาะสม"
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความกังวล Recession ในสหรัฐฯ แต่ไทยยังห่างไกล โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศ และช่วงที่เหลือของปีนี้คาดหวังแพกเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ เช่น คนละครึ่งเฟส 6 ช้อปช่วยชาติ เป็นต้น
ขณะที่ปี 66 คาดว่าจะเห็นภาครัฐลดมาตรการเยียวยาประชาชน และเพิ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งเป็นปีที่ไทยเป็นเจ้าภาพงานประชุม APEC2022 หวังเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย
ประเมิน 3 ปัจจัยช่วยหนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัย ASPS ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย และเปิด Long ใน Future ต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองที่เชื่อว่าทิศทางของเงิน USD น่าจะเริ่มอ่อนค่าลง หลังจากเพดานการปรับขึ้นดอกเบี้ยเหลือจำกัด ขณะที่ ECB และธนาคารกลางประเทศต่างๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น ขณะที่เงินบาทแข็งค่าตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจและดุลบัญชีเดินสะพัดที่เริ่มกลับมาบวก
ในอีกทางหนึ่งพบว่า สัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติในบ้านเรายังต่ำกว่าปกติมาก ทำให้ยังเห็นแรงซื้อจากต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ต่อ ช่วยขับเคลื่อน SET Index ดังนั้นมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีแรงพยุง และหนุนเดินหน้าต่อในช่วงนี้ด้วยปัจจัยต่างๆ คือ
1.การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีแนวโน้มชะลอลง แม้ตลาดหุ้นอาจผันผวนบ้างเนื่องจากนักลงทุนรอผลการประชุม Fed ในคืนนี้ แต่ตลาดรับรู้และคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% รอบนี้มาแล้วกว่า 1.5 เดือน ขณะที่การประชุมเดือน ธ.ค. เป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยลดลงจาก 0.75% มาเป็น 0.5% มากขึ้น หรือดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 4.5% รวมถึงกรอบการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าถูกจำกัดไว้ที่ 5%
2.หุ้นจีนรีบาวนด์กลับแรงในวานนี้ (Hang Seng +5.2%) โดยเฉพาะหุ้นคาซิโน ร้านอาหารจีนขึ้นแรง เช่น Sands China +11.5% Haidilao +13% แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกับประเด็นโควิดในจีนน้อยลง อีกทั้งผู้ติดเชื้อโควิดในจีนปัจจุบันเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 2-3 พันรายต่อวัน แต่ก็ห่างกับช่วงกลางปีที่ระดับ 3 หมื่นรายต่อวัน ถือเป็นหนึ่งแรงหนุนหุ้นไทยที่มีสัดส่วนรายได้จากจีนและความ คาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น อย่าง SCGP CBG SCC รวมถึงหุ้นท่องเที่ยว AOT CENTEL ERW และ
3.Momentum Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนี่อง โดยต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยวานนี้ 6.8 พันล้านบาท ซื้อต่อเนื่อง 8 วันทำการ 2.28 หมื่นล้านบาท พร้อมกับซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ 3.2 หมื่นสัญญา สะสม 10 วันทำการ สูงถึง 1.91 แสนสัญญา
จากปัจจัยทั้ง 3 ส่วนคาดช่วยพยุงและหนุนตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อได้ ส่วนวันนี้ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบวันนี้ 1,613-1,631 จุด Top pick เลือกหุ้นใหญ่ราคา Laggard แนวโน้มกำไรฟื้นตัว คาดหวัง Fund Flow หนุนในระยะถัดไป
“Fund Flow ต่างชาติเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยได้ และ SET Index มีโอกาสขยับขึ้นได้ดีในวันที่ต่างชาติซื้อสุทธิ ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปี เชื่อว่า Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อ ทั้งจากสัดส่วนการถือครองที่ต่ำ ปัจจัยลบคลี่คลาย เศรษฐกิจไทยเดินหน้าเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ล้วนเป็นตัวกระตุ้นที่ดี” ฝ่ายวิจัย ระบุ
แนะลงทุน 7 หุ้น Domestic Consumption
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย. แนะนำทยอยสะสม 7 หุ้น Domestic Consumption เด่น คือ CBG, CRC, CK, BBL,PLANB และ GULF หุ้นที่ลงมาลึกกำไร ไตรมาส 4/65 ฟื้น คือ SCGP ส่วนหุ้นที่ต้องระมัดระวังการลงทุนเพราะ Valuation เริ่มจำกัด คือ PTTGC และ TRUE