นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 เติบโตได้ประมาณ 2-3% จากปีนี้ที่คาดการณ์ในระดับ 3-4% โดยปัจจัยที่ยังคงต้องระมัดระวังเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเกิดถดถอยจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในหลายประเทศ ดังจะเห็นได้จากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวลงกลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอัตราที่สูงและจะยังคงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างชัดเจนในปีหน้า
ดังนั้น ในส่วนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะส่งออก และกลุ่มเอสเอ็มอีที่ยังเพิ่งฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 จะยังต้องเผชิญกับภาวะลำบากอยู่ และควรมีการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยการเตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับช่วงเวลาข้างหน้าจนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเริ่มคลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณปีกว่าๆ พร้อมกันนั้น ควรบริการจัดการต้นทุนต่างๆ ให้เหมาะสม รวมถึงตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือชะลอโครงการที่ยังไม่เร่งรีบออกไปก่อน
"ปีหน้าเป็นปีที่ไม่ง่าย เศรษฐกิจใหญ่ๆ หลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เราได้เห็นเรื่องต่างๆ ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างหุ้นขนาดใหญ่อย่างอเมซอนที่ปรับตัวลดลงแรง ค่าเงินเยนที่อ่อนลงไปแรงจนกระทั่งทางการญี่ปุ่นต้องเข้าไปแทรกแซงอย่างที่ไม่เคยทำมา 20 ปี ดังนั้น สิ่งที่เราต้องเตือนลูกค้าและผู้ประกอบการคือต้องดูแลเรื่องสภาพคล่องและต้นทุนให้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มส่งออกที่แม้ว่าในปีนี้จะยังโตได้ แต่ปีหน้าอาจจะทำได้แค่ประคองไม่ให้ติดลบก็ดีแล้ว"
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจยังนับว่ายังไม่รุนแรงมากนัก โดยในส่วนของไทยจะยังได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวหลังจากผ่อนคลายเกณฑ์การเปิดประเทศ โดยมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้นกว่าล้านคนต่อเดือน จากช่วงต้นปีที่มีเพียง 1 แสนคน และเชื่อว่าตัวเลขจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังในเรื่องของฟันด์โฟลว์ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยที่อาจถูกเทขายสินทรัพย์เป็นบางช่วงที่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ จะถูกเทขายยกกลุ่ม ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีโดยเฉพาะในกลุ่มท่องเที่ยว พลังงานทดแทน และการเกษตรที่ยังปัจจัยสนับสนุนที่ดีอยู่