เกือบ 80% ของชาวเอลซัลวาดอร์ เชื่อว่ากลยุทธ์ Bitcoin ของประเทศ จากความพยายามดันทุรังแบบสุดลิ่มทิ่มประตูของนายนายิบ บูเคเล ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ นั้นคือหายนะจากความเสี่ยงที่นำพาไปสู่ความล้มเหลวอย่างรุนแรง
จากการเปิดเผยของ finbold ที่ระบุถึงรายงานการใช้คริปโตและความนิยมของการใช้คริปโตเพื่อทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศของประชาชนชาวเอลซัลวาดอร์ โดยหากย้อนไปวันที่ 7 ก.ย. 2564 ประเทศเอลซัลวาดอร์ ได้กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ยอมรับให้ 'บิทคอยน์' เป็นเงินที่ถูกกฎหมายตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาของประเทศ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 1 ปี นโยบายนี้ผ่านการพิสูจน์แล้วจากประชากรในประเทศที่ดูเหมือนจะไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีฐานะยากจน
ล่าสุดจากรายงานของ Barrons เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ซึ่งอ้างถึงการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งอเมริกากลาง (UCA) ระบุว่าประมาณ 77% ของชาวเอลซัลวาดอร์เชื่อว่าการนำ Bitcoin ไปใช้นั้นล้มเหลว โดยประเด็นที่น่าสนใจคือการศึกษาชี้ให้เห็นว่าแม้รัฐบาลจะพยายามเผยแพร่ Bitcoin และ cryptocurrencies ให้เป็นที่นิยม 75.6% ของผู้อยู่อาศัยในประเทศ แต่จากการตั้งข้อสังเกตพบว่า พวกเขาไม่เคยใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2565 เลยขณะเดียวกันเมื่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วไปลดลงอย่างมากสะท้อนความเสี่ยงมูลค่าการถือครองที่ลดลง ขณะเดียวกันทางรัฐบาลก็ยังไม่เลิกในการทยอยเข้าเก็บ Bitcoin เพิ่มแม้ว่าราคาจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงก็ตาม
นอกจากนี้ 77% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีความเห็นด้วย ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี Nayib Bukele ควรหยุดใช้เงินทุนสาธารณะเพื่อซื้อ Bitcoin สะสมในจำนวนที่สูงขึ้น เพราะอาจกระทบต่อดัชนีมวลรวมของประเทศ ซึ่งจะผลักดันให้หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนมากกังวลว่าจะเกิดวิฤติประเทศจนนำไปสู่การล่มสลายเฉกเช่นเดียวกันกับประเทศเวเนซุเอลา
ขณะที่ Andreu Oliva อธิการบดี UCA กล่าวว่า “เป็นมาตรการที่เลวร้ายอย่างที่สุดของรัฐบาล"
การใช้ crypto ในการโอนเงินมีจำนวนครั้งน้อยมาก และไม่เป็นที่นิยม
จากการประกาศให้บิทคอยน์เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย และความะยายามในการผลักดันให้ประชาชนนำนโยบายนี้ไปใช้ คือหนึ่งในเป้าหมายของประเทศเอลซัลวาดอร์ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศยากจนไปสู่ประเทศที่มีความมั่งคั่งร่ำรวย และดึงดูดแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งจุดประสงค์หลักอีกประการหนึ่งนั้นคือการอำนวยความสะดวกในการโอนเงินกลับบ้านของประชาชนชาวเอลซัลวาดอร์ที่ไปขายแรงงานอยู่ในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ของธนาคารในแบบดั้งเดิมที่แสนแพง โดยการส่งเงินกลับมาสู่ประเทศแม่ของผู้ค้าแรงงานชาวเอลซัลวาดอร์นั้นเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็นประมาณถึง 1ใน4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเอลซัลวาดอร์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากธนาคารกลางซัลวาดอร์ในเดือนกันยายนปีนี้เปิดเผยว่ามีการทำธุรกรรมการโอนเงินน้อยกว่า 2% ของการส่งเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrencies
ขณะที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจการคลังระหว่างประเทศมองว่าประเทศเอลซัลวาดอร์กำลังเสี่ยงล่มสลายจากภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ริมขอบเหว โดยหลังจากการปรับฐานครั้งใหญ่ของ Bitcoin ในปี 2022 เอลซัลวาดอร์ประสบกับความสูญเสียสินทรัพย์จากการเสื่อมค่าของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มูลค่าบิทคอยน์ที่ถือครองนั้นลดลงต่อเนื่องอย่างรุนแรง ท่ามกลางการเรียกร้องของประชาชนให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายที่จะเอาเงินคงคลังไปซื้อบิทคอยน์เพิ่มขึ้นของนายนายิบ บูเคเล ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ โดยไม่ฟังคำเตือนจาก IMF ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะอาจนำไปสู่การลุกฮือประท้วงหรือการทำรัฐประหารในอนาคตได้
